[AU] TingYang – ซินซื่อเตอเกาฝง (2)

 

心事的高峰

[ ซินซื่อเตอเกาฝง ]

ความในใจ ของ ยอดเขา

 

AU

เฉินเหว่ยถิง x หยางหยาง

 

(2)

 

 

 

นัยน์เนตรคมค่อยๆ เปิดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ภาพโต๊ะทรงงานไม้สีเข้มตัวใหญ่เรียกให้สติที่เลือนลางยิ่งงุนงง พระขนงขมวดมุ่น พระวรกายแกร่งขยับลุกขึ้นมานั่ง พอทอดพระเนตรเห็นว่าบรรทมอยู่บนฟูกนุ่มก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่

วันไหนที่พระองค์ทรงงานจนดึกดื่น พระองค์มักจะเผลอฟุบไปกับโต๊ะทุกครา แต่ในยามเช้า เมื่อเปิดพระเนตรขึ้นมามักจะพบว่าคืนนั้นบรรทมหลับสบายอยู่บนที่นอนนุ่มทุกที

ต้องมีใครสักคนพาพระองค์มาที่บรรทม

เสียงเคาะประตูเรียกให้ทรงหลุดจากห้วงคำนึง นัยน์เนตรตวัดไปมองก่อนตรัสอนุญาต ร่างแกร่งขององครักษ์หนุ่มปรากฏขึ้นมาในสายตา

“ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือกระหม่อม” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ เขาโค้งคำนับให้ด้วยความเคารพ ฮ่องเต้หนุ่มหรี่พระเนตร ในหัวกำลังครุ่นคิดว่า หากมีใครสักคนบังอาจแตะต้องพระวรกายพระองค์และพาไปยังที่บรรทมได้ ก็คงไม่พ้นชายหนุ่มคนนี้

“ทรงหิวหรือยังฝ่าบาท หม่อมฉันจะได้สั่งนางกำนัลให้จัดโต๊ะอาหารให้” พอเห็นพระองค์พยักพระพักตร์ องครักษ์หนุ่มจึงหันหลังกลับเตรียมจะไปแจ้งเรื่อง

“เหว่ยถิง” เสียงเรียกนั้นรั้งขาของคนถูกเรียกไว้ นัยน์ตาคมไหววูบ ราวกับได้ยินเสียงซ้อนทับที่ไม่มีทางจะได้ยินอีกแล้วในชาติภพนี้ผ่านพาดเข้ามาในความคิด

‘เหว่ยถิงเกอ’

เขาขยับรอยยิ้มขมขื่น ปรับแววตาให้เป็นปกติก่อนจะหันใบหน้ากลับมารับคำสั่ง

“มีสิ่งใดหรือฝ่าบาท” พระพักตร์อ่อนเยาว์นั้นดูจะตกพระทัยไม่น้อยที่เอ่ยเรียกเขาไว้

“ไม่มีสิ่งใด เจ้าไปเถอะ บอกนางกำนัลให้จัดเตรียมน้ำอุ่นมาให้ข้าด้วย”

“รับทราบกระหม่อม”

ร่างแกร่งเดินออกจากห้องไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกอึดอัดประหลาดที่รายล้อมอยู่รอบพระวรกาย พระองค์ถอนปัสสาสะยาว ปลดปล่อยทุกความรู้สึกออกมา

ครู่หนึ่งที่สงสัยว่าใครคือคนอุ้มพระองค์

ครู่นั้นคือช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเผลอไผลเรียกอีกฝ่ายไปด้วยความรู้สึกที่แน่นพระทัย

หากเผลอมากกว่านิด สิ่งที่ตรัสออกไปคงเป็นคำว่า เกอ เหมือนเมื่อคราเยาว์วัย

พระหัตถ์แกร่งดึงผ้าผืนบางขึ้นมาคลุมพระวรกาย ก่อนจะเคลื่อนตัวไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง นัยน์เนตรมองไปไกล จดจ้องอยู่ที่ผืนหญ้าสีเขียวที่พระองค์เคยวิ่งเล่นในยามเด็ก

หากย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ยามที่พระองค์ทรง 10 ชันษา ยามนั้นเป็นยามที่พระองค์สุขพระทัยมากกว่าสิ่งใด เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ทุกคนทรงรักและห่วงใยพระองค์ยิ่งนัก ฮั่นเกอ…เสด็จพี่คนสำคัญก็มักจะชมเชยความสามารถของพระองค์เสมอ

รวมถึงถิงเกอที่คอยดูแลตลอดเวลา

 

 

 

เสียงกันแสงลั่นเรียกให้องครักษ์หนุ่มที่มองปลายฟ้าอยู่สะดุ้งสุดตัว ขายาวรีบก้าวพรวดไปหานายเหนือหัว พอเห็นว่าร่างเล็กประทับอยู่บนผืนหญ้า พระหัตถ์ทั้งสองข้างกุมอยู่ที่พระชานุที่กำลังมีพระโลหิตหลั่งไหล ใบหน้าคมคายก็ซีดเผือดจนแทบไร้สี

“องค์ชายน้อย!” เฉินเหว่ยถิงตะโกนเสียงดัง มือใหญ่โอบประคองเด็กชายที่กำลังหลั่งพระเนตรไม่ขาดสาย

“เกิดอะไรขึ้นกระหม่อม”

“ถิงเกอ ข้าหกล้ม” เจ้าชายองค์เล็กตรัสเสียงขาดหาย พระพักตร์แหยเกด้วยความเจ็บปวด องครักษ์หนุ่มลนลาน รีบกระชากแขนเสื้อของตัวเองออกมาพันเข้าที่บาดแผล แขนเสื้อขาดๆ ของอีกฝ่ายทำให้เด็กชายเริ่มหยุดร้องไห้ นัยน์เนตรกลมโตมองผ้าที่ขาดวิ่นด้วยความรู้สึกไม่ดี

“เสื้อเกอขาดหมดแล้ว”

“ไม่เป็นไรกระหม่อม ทรงเจ็บมากมั้ย หม่อมฉันขออภัยที่มิได้ดูแลอย่างดี น่าลงโทษตัวเองยิ่งนัก” เสียงเคร่งเอ่ยทั้งๆ ที่ยังพันแผลอยู่

“ข้าแค่หกล้ม ถิงเกอไม่เห็นต้องลงโทษตัวเองเลย”

“พระวรกายของพระองค์คือสิ่งล้ำค่า หม่อมฉันเคยเอ่ยไว้แล้วว่าจะมิให้สิ่งใดมากล้ำกราย การที่พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิตเช่นนี้ หม่อมฉันถือว่าหม่อมฉันไร้ความสามารถ”

“ข้าไม่ดูแลตัวเองต่างหาก”

“หม่อมฉันผิดเอง พระองค์อย่าทรงโทษตัวเองเลยกระหม่อม เจ็บมากไหมพะยะค่ะ”

“เจ็บ….” น้ำเสียงอ่อนแรงนั้นยิ่งทำให้องครักษ์หนุ่มหน้าเสีย

“ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันจะพาพระองค์ไปหาหมอหลวงนะกระหม่อม” พูดจบก็ช้อนแขนทั้งสองข้างเข้าที่ร่างเล็ก โอบอุ้มพระวรกายขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม

“ถิงเกอทำอะไร”

“พาพระองค์ไปหาหมอหลวงยังไงละพะยะค่ะ อย่าทรงดิ้นนะกระหม่อม” พระองค์แย้มสรวล อ้อมแขนแกร่งของชายหนุ่มอบอุ่นกว่าที่ดำรินัก

“ถิงเกอตัวอุ่นจัง”

“อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็นน่ะกระหม่อม หม่อมฉันไม่น่าพาพระองค์ออกมาเดินเล่นเลย ถ้าหากทรงหนาวกอดหม่อมฉันไว้ได้นะพะยะค่ะ”

“หากว่าข้าหนาว ถิงเกอจะอยู่ให้ข้ากอดตลอดไปหรือเปล่า” องค์รักษ์หนุ่มหัวเราะ เบนสายตาลงมาสบกับพระเนตรกลมโตที่กำลังมองมา

“ไม่ว่าสิ่งใดที่องค์ชายต้องการ ขอให้เอ่ย เฉินเหว่ยถิงคนนี้พร้อมทำให้พระองค์เสมอ นี่คือคำมั่นสัญญาของกระหม่อมที่มีต่อองค์ชายหยางหยางพะยะค่ะ”

 

 

 

พระเนตรคมหลุบต่ำ

…ข้าหนาว ถิงเกอ ข้าควรจะทำอย่างไรดี ข้าหนาวเหลือเกิน…

พระหัตถ์แกร่งกระชับผ้าให้แน่นขึ้น กักเก็บทุกความรู้สึกที่ปวดร้าวไว้เบื้องลึกของพระทัย

….ข้าหนาว แต่เอ่ยไม่ได้ ถิงเกอ ข้าควรทำอย่างไร…

 

 

 

บรรยากาศในท้องพระโรงไม่ต่างจากทุกวัน ขุนนางยังคงส่งฎีกาเข้ามาไถ่ถามเรื่องราวเดิมๆ ที่น่าเบื่อหน่าย พระองค์ทรงรับฎีกามาเหมือนทุกครา อันใดที่ดูเป็นเรื่องสำคัญก็ยกขึ้นมาก่อน

เป็นหนึ่งชั่วยามที่น่าเบื่อหน่าย เหล่าขุนนางก็มีสีหน้านิ่งสนิท

“งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ ฎีกาที่เหลือ ข้าจะค่อยๆ ดูแล้วมาคุยกันคราวหน้า” ชายหนุ่มในชุดขุนนางโค้งตัวลง พระองค์ขยับพระวรกาย มองบรรยากาศแสนหม่นก่อนจะดำเนินออกจากท้องพระโรงไป

 

 

 

ฮ่องเต้หนุ่มทอดพระเนตรไปยังฎีกาที่วางอยู่บนโต๊ะ ถ้อยคำเดิม ตัวอักษรแบบเดิม ไม่ได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย ทว่า ฎีกาเรื่องนี้กลับเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ จนพระองค์เริ่มหวั่นพระทัย

พระองค์ถอนปัสสาสะ

ท่าทีที่เต็มไปด้วยความกังวลพระทัยเรียกให้องครักษ์หนุ่มที่ยืนมองมานานแล้วนึกเป็นห่วง

“ดำริสิ่งใดอยู่หรือกระหม่อม” คำถามนั้นไม่ได้ทำให้พระองค์รู้สึกตัวเลย นัยน์เนตรยังคงจ้องมองฎีกาด้วยสีหน้าหนักพระทัย จนร่างสูงเอ่ยเรียกอีกครั้งพระองค์ถึงขยับพระวรกาย

“เจ้าเอ่ยอะไรหรือเหว่ยถิง”

“ดำริสิ่งใดอยู่หรือกระหม่อม พระพักตร์ไม่สู้ดีเลย” พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบหน้า ขับไล่ความรู้สึกปั่นป่วนออกไป

“ฎีกามีสิ่งใดหรือกระหม่อม”

“เรื่อง…ฮองเฮาน่ะ” ใบหน้าคมคายของคนสูงวัยกว่าเปลี่ยนสี นัยน์ตาไหววูบ

“ฮองเฮา….อย่างนั้นหรือกระหม่อม” ฮ่องเต้หนุ่มขยับพระพักตร์ ภายในหัวทรงครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้หลายๆ ทาง สำหรับพระองค์แล้ว เรื่องคู่ครองนั้นไม่เคยดำริเลยแม้แต่น้อย ในแต่ละวันที่ต้องทรงงานก็วุ่นวายจนแทบจะไม่มีเวลาบรรทมแล้ว

ทว่า สำหรับขุนนางคงไม่คิดเช่นนั้น ฮ่องเต้ในวัย 20 ชันษาที่ไม่มีคู่คิดข้างกายเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด

เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ไม่เคยตรัสถึงคู่ครองของพระองค์มาก่อน สิ่งที่เคยได้ยินมีเพียงแต่คู่ครองของฮั่นเกอเท่านั้น ทั้งสองพระองค์ตรัสไว้ว่า สำหรับท่านแล้ว องค์ชายน้อยสามารถมีอิสระได้อย่างใจที่ต้องการ ฮั่นเกอเสียสละทุกอย่างแล้ว ทั้งสองท่านไม่อยากให้พระองค์ต้องเสียสละใดๆ อีก ดังนั้นเรื่องส่วนตัวใดๆ ทั้งสองจะไม่แตะต้อง

ส่วนพระองค์ที่ไม่เคยดำริสิ่งใดมากๆ คิดเพียงแต่จะพัฒนาฝีมือเท่านั้น จึงไม่เคยใส่พระทัยกับหญิงงามเมืองคนใด ในยามนี้ที่ฎีกาเรื่องของฮองเฮาที่มีมากขึ้น ทำให้พระองค์เริ่มหนักพระทัย

นัยน์เนตรคมปิดลง หากนับหญิงสาวที่พระองค์พอจะคุ้นเคยอยู่บ้างก็มีอยู่หนึ่งคน

ลูกสาวของผู้ดูแลเมืองปีกขวาของดินแดน หญิงสาวสวยที่พระองค์เคยพูดคุยยามออกตรวจตรากับฮั่นเกอ

“หลิวอี้เฟย….ดีมั้ยนะ” ชื่อนั้นทำให้ใบหน้าขององครักษ์นิ่งเรียบกว่าเดิม

หลิวอี้เฟยคือสาวงามเมืองที่ใครๆ ก็รู้จัก ลูกสาวของผู้ดูแลเมืองที่ใครๆ ก็ชื่นชม คนในเมืองกล่าวถึงเธอว่าคือนางฟ้าที่แสนจะใจดี มีชายหนุ่มมากมายมาทาบทาม แต่นางกลับไม่เคยสนใจใครที่ไหน ไม่มีใครทราบว่าทำไมเช่นกัน

“เหว่ยถิง เจ้าว่าหลิวอี้เฟยมีคู่ครองหรือยัง”

“เท่าที่หม่อมฉันได้ยินมา นางยังไม่มีกระหม่อม”

“อย่างนั้นหรือ….” ทรงลากเสียงยาว

“สงสัยต้องเข้าไปคุยแล้วล่ะ ถ้าจำเป็นต้องมีฮองเฮาจริงๆ ข้าคิดว่าหลิวอี้เฟยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ฝากเจ้าติดต่อไปทางบ้านนางด้วยนะ ว่าพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปเยี่ยม” ร่างสูงโค้งตัวลงก่อนจะหันหลังก้าวเดินออกมาจากห้อง

ฮ่องเต้หนุ่มถอนปัสสาสะอีกรอบ

นัยน์เนตรคมมองตามแผ่นหลังที่กำลังก้าวเดินออกจากห้องไป

…อาจจะเป็นเพราะแต่ก่อน ข้ามีถิงเกออยู่ข้างๆ ข้าถึงไม่เคยใส่ใจเรื่องของคู่ครอง…

…ยามใดที่ขาด ถิงเกอจะคอยมาแทน ยามใดที่เกิน ถิงเกอจะคอยเอาออก การมีอยู่ของถิงเกอช่วยถมทุกความต้องการของข้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นถึงไม่เคยคิดเลยแม้แต่น้อย…

ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระพักตร์อีกรอบ

…แต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว…

พระองค์ปล่อยลมหายใจยาวออกมาจากโอษฐ์

….ข้าต้องลืมได้แล้วว่านี่ไม่ใช่ถิงเกอ คนที่ยืนอยู่ข้างกายข้าตอนนี้คือองครักษ์เฉินเหว่ยถิงนะ…

….หยางหยาง ลืมได้แล้ว ข้าต้องลืมได้แล้วว่ามิใช่องค์ชายน้อยหยางหยาง ข้าคือโอรสสวรรค์ ฮ่องเต้หยางหยางของแผ่นดินนี้….

 

 

 

ลืมเรื่องเก่าๆ ไปได้แล้วนะ

 

 

 

=TALK=

 

คุโจค่ะ

พยายามให้ยาว แต่ก็ยาวได้แค่นี้ ฮา

จะค่อยๆ ทำให้ยาวขึ้นทีละนิดๆ นะคะ > v <

 

หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบฮ่องเต้หยางหยางกับองครักษ์เหว่ยถิงนะคะ

 

ติชมเราได้เสมอนะคะ XD

ไปตามคุยกันในเพจ ไม่ก็ในทวิตเตอร์ได้ค่ะ

KA’KUJO

PAGE : https://www.facebook.com/Kakujo59

TWITTER : https://twitter.com/kakujo59

Leave a comment