[Baramos Fanfiction – A La Prochaine ] CH13

สวัสดีค่า คุโจค่า เรามีปัญหากับเวิร์ดเพลส….ลงฟิคแล้วหน้ากระดาษเพี้ยนหมดเลย ไม่รู้ทำไม

 

ขออนุญาตย้ายฟิคไปลงที่เด็กดีต่อนะคะ ตามไปติดตามได้น้า

 

ขอบพระคุณมากค่า

 

>> จิ้มๆ ได้เยยย <<

[Baramos Fanfiction – A La Prochaine ] CH12

Title : รัก

Fandom : The Thief of Baramos

Paring : Kalo x Felin

Genre : NL

Rating : PG

About : ภาพการจากลาของคนนัยน์ตาสีฟ้าและคนนัยน์ตาสีน้ำตาลในความฝันที่หมุนย้อนมาในวันเดียวกันของทุกปี เรียกร้องให้เธอตามหาใครที่อยู่ในความฝัน เพื่อทำตามคำสัญญาของหัวใจที่เคยให้กัน

 

 

รถคันเล็กเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันเสาร์ที่อากาศสดใสแบบนี้ คนส่วนใหญ่เลือกที่จะซุกตัวอยู่บนที่นอนอุ่นๆ ดังนั้นบนถนนจึงค่อนข้างโล่ง

 

เธอหันไปมองคนข้างกาย ใบหน้าคมคายยังคงจ้องมองเส้นทางข้างหน้า

 

“คุณลีโอเนลคะ” อีกฝ่ายส่งเสียงตอบกลับมาในลำคอ “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงชวนฉันออกมาล่ะคะ แถมยังชวนมาขึ้นเขาอีกต่างหาก”

 

“ผมแค่อยากชวนคุณแคลร์ออกมาเที่ยวน่ะครับ”

 

“เหตุผลมีแค่นี้เหรอคะ?”

 

“ต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ด้วยหรือครับ”

 

“ก็แล้วทำไมถึงกะทันหันแบบนี้ คุณเพิ่งกลับมาจากอีกเมืองแท้ๆ น่าจะพักผ่อนอีกสักวันนะคะ”

 

“วันอาทิตย์เป็นวันครอบครัวนี่ครับ คุณทำงานหนักมาเกือบเดือนแล้ว ผมก็อยากให้มีเวลาอยู่กับครอบครัวบ้าง แต่ผมก็อยากชวนคุณออกมาพักผ่อนด้วยกัน วันเสาร์นี่แหละครับเหมาะสมที่สุด อีกอย่าง อาทิตย์หน้าทั้งคุณทั้งผมก็คงกลับไปยุ่งกับงานวิจัยตามเดิม ก็มีวันนี้แหละครับที่สมควรที่สุด”

 

“แล้วทำไมถึงชวนฉันล่ะคะ” ลีโอเนลขยับรอยยิ้มกว้าง

 

“เพราะผมอยู่กับคุณแล้วสบายใจครับ คุณแคลร์” หัวใจกระตุกวูบ “เวลาคนเราเหนื่อยๆ ก็ต้องการที่พักผ่อนหัวใจที่ดีที่สุดนี่ครับ ผมก็แค่พาตัวเองมาอยู่ในที่ๆ สบายใจที่สุด ก็แค่นั้นเอง”

 

ดวงหน้าหวานร้อนฉ่า คำพูดทั้งหมดติดขัดอยู่ในลำคอ เธอแทบจะไม่ได้ยินคำพูดใดๆ อีกนอกจากเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง

 

“ยังมีข้อสงสัยอะไรอีกมั้ยครับ”

 

“ฉัน…ฉัน….” ท่าทางอึกอักของเธอยิ่งทำให้อีกฝ่ายอมยิ้มจนอยากจะฟาดแขนเข้าใส่สักป้าบแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่นั่งก้มหน้างุด นึกคำพูดโต้เถียงอะไรไม่ออกอีก

 

ทว่าก่อนที่บรรยากาศจะทำให้เธอสำลักความเขิน โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น พอเห็นชื่อบนหน้าจอเธอก็รีบกดรับ ปลายสายส่งเสียงทักทายมาอย่างร่าเริงสดใส

 

‘ไง แคลร์ สรุปได้ออกไปกับคุณลีโอเนลหรือเปล่า’

 

“ยัยบ๊อง ฝีมือเธอเหรอ” เธอนึกอยากจะตวาดแหว ติดอยู่ที่ว่าในรถค่อนข้างเงียบและเธอก็เกรงใจคนขับรถ

 

‘บ้า ฝีมือฉันที่ไหน เมื่อวานเขามาถามฉันต่างหากว่าถ้าอยากพาเธอไปเที่ยวด้วยกันต้องทำยังไง ฉันก็เลยแนะนำให้ไปขอพ่อกับแม่’

 

“เจอหน้ากันเมื่อไรฉันจะตีเธอ กลับมาก็ไม่บอกกันสักคำ แถมยังทำให้เป็นห่วงแทบบ้า ไม่พอยังจะมาแกล้งกันอีกนะ”

 

‘ใครแกล้งเธอกัน ดีไม่ดีต้องมาขอบใจฉันด้วยซ้ำนะยะ’

 

“ขอบใจอะไรกันเล่า” เสียงทุ้มปลายสายหัวเราะคิกคัก

 

‘น่าๆ ฉันสบายดี แค่โทรมาหาเฉยๆ เอาไว้เดี๋ยวกลับมาแล้วค่อยลงโทษฉันก็ได้ ใช้เวลาอยู่กับคุณลีโอเนลเถอะ ไม่ต้องห่วง ฉันนอนตีพุงสบายใจอยู่ที่บ้าน มีอะไรก็โทรมาได้เลย’ เธอย่นจมูกใส่เพื่อน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็น แต่เธอรู้ดีว่าคนตัวเล็กจินตนาการสีหน้าของเธอออก

 

‘อย่าทำหน้าบ๊องๆ ใส่มือถือล่ะ ฉันไม่เห็นหรอก แต่คนที่เห็นคือคุณลีโอเนลนะ’

 

“ลอเรต!”

 

‘ฉันไม่กวนแล้ว เดี๋ยวคืนนี้จะโทรหาใหม่ ยังไงซะก็ ทำตามหัวใจของตัวเองนะแคลร์ เธอไม่ใช่คนที่แบกทุกอย่างไว้บนไหล่ ชีวิตสั้นจะตาย ถ้าเห็นความสุขอยู่ตรงหน้า ก็คว้ามาให้เต็มอ้อมกอดนะ’

 

“มาพูดคำคมอะไรเวลานี้กันล่ะ”

 

‘ไม่ใช่คำคม แค่บอกเฉยๆ ฉันวางสายแล้วดีกว่า ฝากทักทายคุณลีโอเนลด้วยนะ’ เธอตอบตกลงก่อนที่ปลายสายจะตัดไป พอหันใบหน้าไปมองก็เห็นชายหนุ่มเหลือบตามองอยู่แล้ว

 

“ลอเรตหรือครับ”

 

“ใช่ค่ะ คุณลีโอเนลไปขอความคิดเห็นจากยัยนั่นมาเหรอคะ” ใบหน้าคมคายหันหนีพร้อมกับหัวเราะในลำคอ

 

“สงสัยกลับไปต้องงดของหวานยัยนั่นซะแล้วล่ะครับ”

 

“งดของคาวด้วยดีมั้ยคะ” เธอเอ่ยพร้อมกับหัวเราะครื้นเครงไปด้วยกัน

 

 

 

 

หลังจากขับรถมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมง พวกเธอก็ถึงจุดหมาย

 

ทันทีที่แคลร์ลงมาจากรถ หัวใจก็รู้สึกประหลาด นัยน์ตาสีฟ้าใสเงยขึ้นมองทางขึ้นเขา ความรู้สึกคุ้นเคยเด่นชัดในความทรงจำ ภูเขานี้ต้องเป็นสถานที่ที่เธอเคยมาก่อน

 

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอออกมาเที่ยวไกลจากตัวเมืองแบบนี้

 

เธอไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่ว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยแบบนี้นะ

 

“หลังจากนี้ต้องเดินขึ้นไปครับ เขาไม่สูงมากแต่วิวสวยมากนะครับ” ลีโอเนลเอ่ย มือหนาสวมหมวกใบหนึ่งลงมาบนหัวของเธอ การกระทำที่ไม่ยิ่งใหญ่อะไรมากนัก แต่ก็แสดงความใส่ใจเสียจนทำให้หัวใจเปลี่ยนจังหวะ “แดดไม่แรงมาก แต่สวมไว้หน่อยก็ดีนะครับ ไปกันเถอะครับ สายกว่านี้แดดจะยิ่งแรง”

 

แม้จะยังสับสนในหัวใจ ทว่าร่างสูงโปร่งก็เดินตามเขาไป

 

สังหรณ์ในหัวใจเต้นแรงเกินไป แรงจนเธอกังวลว่าบางทีบนเทือกเขานี้จะมีบางอย่างรอคอยอยู่

 

ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ทั้งสองคนก็เดินมาถึงยอดเขา ถึงแม้ตัวเขาจะไม่สูงมากนัก แต่ก็สามารถมองเห็นเมืองได้เกือบทั้งเมือง ตึกรามบ้านช่องเรียงแถวกันเป็นระเบียบ ถนนตัดกันเป็นบล็อคสี่เหลี่ยม และผู้คนที่เริ่มออกมาใช้ชีวิต

 

ทุกอย่างดูเล็กกระจ้อยร่อยเมื่อมองจากมุมนี้

 

“สวยนะครับ”

 

“ค่ะ สวยมากเลย ฉันเพิ่งเคยเห็นเมืองทั้งเมืองแบบนี้มาก่อน พื้นที่ที่ฉันอยู่เล็กนิดเดียวเองนะคะพอเทียบกับขนาดทั้งเมืองแล้ว แต่พอลงไปอยู่ตรงนั้นทุกอย่างก็ดูใหญ่ไปหมด”

 

“ใช่ครับ ทุกอย่างอยู่ที่ห้วงความคิดของเราครับ” นัยน์ตาสีฟ้าใสแจ๋วหันไปมอง ชั่ววินาทีที่กำลังจะโต้ตอบลมก็พัดวูบผ่านมาจนต้นไม้ด้านหลังแกว่งไกว แคลร์เหลือบตาไปมอง

 

ภาพบางอย่างพัดพาเข้ามาในสมอง

 

ต้นไม้ต้นนั้น เธอเคยเห็น

 

และเขาลูกนี้เธอก็เคยมา

 

 

 

 

“อากาศก็เหมือนจะหนาวขึ้นนิดหน่อยแฮะ หนาวมั้ยคาโล”

 

“ถ้าเธอหนาว ฉันก็จะหนาวไปกับเธอ ถ้าเธอร้อน ฉันก็จะร้อนไปกับเธอ ” หญิงสาวหัวเราะออกมา

 

“ไอบ้า จะมาผูกความรู้สึกแกกับฉันทำไม”

 

“เพราะฉันรักเธอไง” คำบอกรักเบาๆ ที่ได้ยินไม่บ่อยทำให้คนที่กำลังนอนอยู่ยิ้มกว้าง รอยยิ้มซึ่งเขาเห็นมาตลอดระยะเวลาที่เธอป่วย

 

 

 

 

ภาพวันลาจากของเฟรินและคาโลยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ แม้วิวทิวทัศน์จะเปลี่ยนไป แต่ต้นไม้ต้นนี้ บรรยากาศบนภูเขาลูกนี้ และตำแหน่งที่พวกเธอยืนอยู่ตรงนี้ คือที่เดียวกับในความทรงจำ

 

เมื่อหลายพันปีก่อน หญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำตาลใสได้จากโลกไป ณ ที่นี่

 

แม้จะรู้ว่าตัวเองคือคุณคาโลกลับชาติมาเกิด แต่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเมืองที่เธออยู่คือสถานที่เดียวกับในอดีต ไม่เคยคิดเลยแม้แต่นิดเดียวว่าทั้งสองคนเคยอาศัยอยู่ที่เดียวกับเธอเพียงแต่ต่างกันซึ่งวันและเวลา

 

“คุณแคลร์ครับ”

 

“คะ” เธอตอบกลับเสียงสูง ยังคงจับต้นชนปลายไม่ติด ตอนนี้ทั้งภาพในอดีตและภาพปัจจุบันกำลังตีกันมั่วซั่วไปหมด เขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคือคุณลีโอเนล แต่ในหัวสมองคนที่อยู่ตรงหน้าเธอกลับเป็นเฟริน เดอเบอโรว์

 

มือหนายื่นมากุมมือของเธอไว้

 

“ผมรู้นะครับว่าอาจจะดูแปลกๆ เวลาที่เราสองคนรู้จักกันก็ไม่ได้นานอะไร เรียกได้ว่าน้อยนิดเลยด้วยซ้ำ” เขาจับมือเธอแน่นขึ้น

 

…’ก็กุมต่อไปสิ ไม่ได้ว่าไม่ชอบนี่’

 

“คุณอาจจะไม่รู้ แต่ผมเฝ้ามองคุณมาตลอด ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเจอกัน ผมก็เฝ้ามองคุณตอนที่อยู่กับลอเรตมานาน เฝ้ามองจนสุดท้ายแล้วก็ถอนตัวแทบจะไม่ขึ้น”

 

…’แล้วตกลงนายจะเป็นฝ่ายบอกว่าชอบฉันก่อน หรือจะให้ฉันเป็นฝ่ายบอกรักนายก่อน’

 

“ผมรักคุณนะครับ คุณแคลร์”

 

…’ฉันจะไม่มีวันทำให้นายเสียใจ คาโล นับแต่ตอนนี้และตลอดไป’

 

หยาดน้ำใสไหลรินลงมาจากดวงตา ภาพตรงหน้าซ้อนทับกันจนเธอสับสนไปหมดแล้ว เธอรักเขา รักผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ รักมากจนไม่อยากจะคิดอะไร รักและดีใจที่ได้ยินเขาบอกรักเธออยู่ตอนนี้ ทว่าเสียงหวานที่คุ้นเคยก็ดังก้องอยู่ในหัว เสียงบอกรักของคุณเฟริน

 

ทำไม นี่มันอะไรกัน

 

เธอต้องทำยังไงดี

 

“คุณแคลร์! เป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไม”

 

“คุณลีโอเนลคะ” เธอสะอื้น “ช่วยพูดประโยคเมื่อครู่อีกรอบได้มั้ยคะ ช่วยบอกรักฉันอีกครั้ง ได้ไหมคะ” แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยความงุนงง แต่เขาก็ไม่ขัดขืน

 

“ผมรักคุณแคลร์ครับ”

 

…’เคยมีตำนานเล่าถึง อาทิตย์ไม่เคยดับในดินแดนแห่งน้ำแข็ง ถึงดอกเกล็ดหิมะที่ขึ้นงดงามได้ท่ามกลางอากาศที่หนาวจัด’

 

หยดน้ำตายังคงพรั่งพรู เธอถลาเข้าไปกอดเขาไว้เต็มอ้อมแขน

 

“คุณแคลร์!”

 

เธอต้องทำยังไงดี ควรทำอย่างไรต่อจากนี้

 

“เป็นอะไรไปครับ!”

 

เธอสับสน เธอรักคุณลีโอเนลและตั้งใจไว้แล้วว่าจากนี้จะมอบหัวใจให้กับใครสักคนที่คิดว่าคือคุณเฟรินไม่ได้ แต่ว่าทำไมอยู่ดีๆ เสียงของคนนั้นถึงปรากฏขึ้นมาในสมอง

 

ราวกับจะเตือนไม่ให้เธอบอกรักเขา

 

‘คุณลีโอเนลเป็นคนดี เขาเข้าใจสิ่งที่เธอเป็น ฉันเชื่อจากหัวใจว่าถ้ารู้เรื่องคุณเฟรินเมื่อไร เขาจะช่วยเธอ’ คำพูดของเพื่อนสนิทวาบเข้ามาในความทรงจำ

 

มือบางขยำเข้าที่แขนเสื้อเขา

 

“คุณลีโอเนลคะ ก่อนที่เราจะคุยกันเรื่องอื่น คุณช่วยฟังเรื่องไร้สาระของฉันก่อนได้มั้ยคะ” นัยน์ตาสีเขียวที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความงุนงง “แล้วหลังจากนั้นฉันจะบอกทุกอย่างที่อยู่ในหัวใจของฉันให้คุณฟังค่ะ”

 

 

 

 

เขาพาเธอไปนั่งที่ม้านั่ง อาจจะเป็นเพราะน้ำตาที่ยังไหลออกมาไม่หยุด มือหนาถึงดึงเธอเข้าไปโอบไว้ และถึงแม้เสียงเล่าของเธอจะขาดเป็นช่วงเพราะเสียงสะอื้น เขาก็ยังรับฟังอย่างตั้งใจ

 

เธอเล่าตั้งแต่ความฝันที่ย้อนวนกลับมาในทุกปี เล่าทั้งข้อสันนิษฐานของตัวเอง ทั้งเรื่องที่คิดว่าคุณฟรองซ์คือคนในความทรงจำ คำสัญญาที่มีระหว่างกัน หรือเรื่องที่งานวิจัยของพวกเธอคือการทำเพื่อไล่ตามใครสักคนที่อยู่ในความฝัน

 

“ฉันรู้สึกคุ้นกับเขาลูกนี้ตั้งแต่ลงจากรถมาแล้วค่ะ จนเมื่อครู่ถึงจำได้ว่าที่นี่คือที่เดียวกับที่คุณเฟรินตายในความฝัน” เธอสูดน้ำมูก เขายังคงตั้งใจฟังพร้อมกับเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ “ตอนที่คุณลีโอเนลพูด ภาพในความทรงจำก็ซ้อนทับกับความจริง จนฉันสับสนไปหมดแล้ว”

 

“ฉันไม่รู้จะทำยังไง ทั้งๆ ที่ตั้งใจอะไรไว้หลายอย่างแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”

 

“คุณแคลร์ตั้งใจอะไรไว้เหรอครับ”

 

“ฉันมีคนในหัวใจอยู่แล้วค่ะ และคนๆ นั้นก็ไม่ใช่คุณเฟรินที่ฉันตามหา ฉันตั้งใจไว้ว่าจะไม่เลิกตามหาเขาคนนั้น แต่จะให้ฉันรักเขาอย่างที่เคยสัญญาไว้ในอดีต ฉันคิดว่าทำไม่ได้” ร่างทั้งร่างถูกเขาดึงเขาไปกอดแน่น ใบหน้าใสซุกลงกับอกอุ่น

 

“แล้วคนนั้น คนที่อยู่ในหัวใจคุณแคลร์ คือใครหรือครับ ผมต้องเผื่อหัวใจไว้รับคำตอบมั้ยครับ” หญิงสาวจิกเสื้อของเขา หลุบนัยน์ตาลงพร้อมกับถามคำถามที่ทำให้ทั้งหัวใจสั่นสะท้าน

 

“ถ้าทั้งชีวิตต่อจากนี้ฉันยังคงยืนยันที่จะตามหาตัวคุณเฟริน ตามหาคนที่เคยรักกันในอดีต คุณลีโอเนลจะรับได้มั้ยคะ”

 

“ไม่ว่าอะไรที่เป็นคุณ ผมรับได้เสมอครับ ต่อให้ต้องตามหาคนๆ นั้นไปจนสุดทางของปลายท้องฟ้า ผมก็จะตามคุณไป คอยจับมือและอยู่ช่วยคุณตลอดไป”

 

หยาดน้ำตาพรั่งพรูลงมาอีกครา

 

“คุณลีโอเนลคะ”

 

“ครับ”

 

“ถ้าฉันรักใครสักคนที่ไม่ใช่คุณเฟริน คุณว่าเขาจะโกรธฉันมั้ยคะ ฉันทำผิดมากไหม”

 

“ผมเคยบอกแล้วนี่ครับ ว่าคุณไม่ได้แบกโลกไว้บนบ่า ชีวิตนี้สั้นจะตายไป ทำในสิ่งที่อยากทำเถอะครับ” เธอยิ้มกว้าง หัวใจพองโตด้วยความรู้สึกที่มากล้น

 

“คุณลีโอเนลคะ”

 

“ครับผม”

 

“ฉันรักคุณค่ะ ฉันก็รักคุณ” อ้อมแขนอุ่นกระชับแน่นกว่าเดิม ใบหน้าคมคายซุกลงมากับเรือนผมนุ่ม

 

“ผมก็รักคุณแคลร์นะครับ”

 

…ขอโทษนะคะคุณเฟริน ฉันต้องขอโทษจริงๆ ชาตินี้ฉันคงรักคุณไม่ได้อีกแล้ว แต่จะตามหาคุณตลอดไป…

 

 

 

 

ชายหญิงสองคนนั่งอิงกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นัยน์ตาสองคู่ทอดมองไปยังท้องฟ้าไกลเบื้องหน้า ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตน

 

“ทำไมคุณลีโอเนลถึงเลือกบอกฉันวันนี้ล่ะคะ” เขาขยับรอยยิ้ม มือหนาเอื้อมไปกุมมือบางไว้ นิ้วเรียวสอดแทรกเข้าไปถมช่องว่างระหว่างกันจนเต็ม

 

“เลิกเรียกผมว่าคุณก่อนได้มั้ยครับ”

 

“อะไรนะคะ”

 

“ถ้าจะคบกันแล้ว ผมอยากให้เราสนิทกันมากกว่านี้ หยุดสุภาพใส่กัน ได้มั้ยครับ” เธอกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเสนัยน์ตาหนี ใบหน้าหวานก้มงุด คำว่าคบกันของเขาทำให้หัวใจเธอทั้งพองโตทั้งเต้นระรัวจนจับจังหวะไม่ถูก

 

“คุณก็เลิกเรียกฉันว่าคุณก่อนสิคะ”

 

“ครับ แคลร์ครับ แคลร์ แคลร์ แคลร์”

 

“พอแล้วค่ะ!” เธอแหว เสียงทุ้มข้างหูเรียกให้ร่างกายสั่นสะท้าน หญิงสาวยิ่งเขินกว่าเดิมจนเริ่มไม่รู้จะเก็บมือไม้ไว้ที่ไหนแล้ว คนขี้แกล้งเห็นท่าทีนั้นจึงหยุดแต่โดยดี

 

“ไหนครับ ถามผมใหม่สิครับ เมื่อครู่ถามอะไร”

 

“แล้วทำไม…ลีโอเนลถึงเลือกบอกฉันวันนี้ล่ะคะ”

 

“ผมน่ะ เฝ้ามองคุณมานาน ได้ยินชื่อคุณครั้งแรกจากลอเรตต้า ได้ยินบ่อยจนนึกสงสัยว่าคุณคือใครกันนะ คุณอาจจะไม่รู้ แต่ผมเห็นคุณตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย เฝ้ามองคุณที่มีรอยยิ้มกว้างให้กับยัยนั่นเสมอมา จากที่แค่สงสัยก็เริ่มอยากรู้จัก จนได้มาเจอคุณในวันเปิดเรียน” เธอขยับรอยยิ้มหวาน

 

“จากที่แค่คิดว่าจะได้รู้จักกัน ไปๆ มาๆ ก็มาสนิทกัน รู้ตัวอีกทีก็เผลอรักคุณไปมากมายแล้ว รักจนเคยคิดจะถอนตัวออกห่างในวันที่เห็นคุณกับเจ้าฟรองซ์เหมือนจะรักกัน แต่วันที่คุณมาร้องไห้อยู่หน้าบ้าน วันที่ได้เห็นน้ำตาของคุณวันนั้น ผมก็รู้แล้วว่าไม่มีวันถอนตัวออกจากคุณได้ ไม่ว่าคุณจะรักใครหรือมองใครที่ไหน ผมก็อยากปกป้องรอยยิ้มของคุณตลอดไป”

 

“คุณกำลังตอบไม่ตรงคำถามนะคะ” แคลร์เอ่ยขัดขึ้นมา เธอเขินจนไม่กล้าฟังประโยคต่อๆ ไปอีกแล้ว

 

“ผมกำลังจะพูดยังไงล่ะครับ ผมน่ะบอกตัวเองอยู่เสมอว่าชีวิตคนเราสั้นจะตาย อยากทำอะไรก็ทำ ผมตั้งใจจะบอกชอบคุณมานานแล้วแต่ผมอยากทำอะไรให้มากกว่านี้ ให้คุณได้มากกว่านี้ อย่างน้อยให้ในเศษเสี้ยวหัวใจคุณยังพอมีผมบ้าง แต่สามอาทิตย์ที่ไม่เจอหน้ากันทรมานเกินไปครับ ผมคิดถึงคุณมาก ยิ่งตอนที่เห็นข้อความของคุณผมก็ยิ่งอยากจะกลับมาที่เมือง มาบอกว่าคิดถึงคุณมากแค่ไหน”

 

“ผมไม่อยากรีรอเวลาอะไรอีกแล้ว อาจจะดูเร็วเกินไปสำหรับคนอื่นหรือใคร แต่สำหรับผมนั้นมันไม่เร็วเลยครับ กลับช้าไปด้วยซ้ำกับเวลาที่จะได้ดูแลคุณอย่างเต็มที่”

 

“พอแล้วค่ะ” ใบหน้าคมคายหันมามอง “แค่ที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้ก็พอแล้ว จริงๆ นะคะ”

 

“ไม่พอหรอกครับ ผมจะทำให้มากขึ้นอีก ทำให้มากขึ้นกว่าเดิมจนไม่มีใครมาทำลายรอยยิ้มของคุณไปได้”

 

“แค่มีคุณอยู่ข้างๆ กัน…” มือหนายกขึ้นปิดปากเธอ

 

“ไม่เอาประโยคแบบนั้นครับ ผมรู้น่ะว่าแค่นั้นไม่พอหรอก ไม่ต้องเกรงใจอะไรกันแล้ว หลังจากนี้เรามาเรียนรู้และดูแลกันและกันต่อไปเรื่อยๆ นะครับ”

 

“อื้อ!”

 

 

 

 

ทันทีที่รถจอด ประตูหน้าบ้านก็เปิดออก ใบหน้าหวานของคนตัวเล็กโผล่ออกมาก่อน แคลร์หัวเราะคิกคัก พอเปิดประตูรถออกไป ร่างสูงโปร่งก็ถลาเข้าไปกอดเพื่อนสนิทไว้เต็มอ้อมแขน

 

“ว่าไงยะ แม่คนเก่ง” ลอเรตต้าแซว มือบางกอดเธอแน่น

 

“ขอบคุณนะ”

 

“เห็นมั้ย บอกแล้วว่าต้องขอบคุณฉัน” หญิงสาวยิ้มแฉ่ง นัยน์ตาสีเขียวเบนไปมองชายหนุ่มที่เพิ่งลงมารถ ลีโอเนลส่งรอยยิ้มกว้างกลับมาให้พร้อมกับยกมือทำท่าโอเค คนตัวเล็กดันเพื่อนสาวออก

 

“ไหน เล่าให้ลอเรตต้าคนนี้ฟังซิ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างวันนี้”

 

“เธอต่างหากต้องเล่าให้ฉันฟังว่าสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง” คนถูกถามหัวเราะร่า

 

“ก็งาน งาน งานน่ะสิยะ เธอคิดว่าฉันไปเที่ยวเล่นหรือยังไง ขลุกอยู่ในห้องวิจัยเหมือนกับคนบ้าแหน่ะ ส่วนคนนู้นก็แทบจะจิ้มหน้าเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่ได้งัดออกมาก็คงไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน” เธอหันไปมองด้านข้างถึงเห็นว่าชายหนุ่มเดินมายืนเคียงข้างเธอแล้ว “เอาล่ะ ฉันเล่าแล้ว ตาเธอแล้วยัยแคลร์”

 

“ฉัน…”

 

“ฉันคบกับแคลร์แล้วลอเรต” คนข้างกายชิงพูดขึ้นมาก่อน

 

“ในที่สุดนะคะ” ใบหน้าหวานหันมามองเธอ มือบางเอื้อมมาจับมือของเธอไว้แน่น นัยน์ตาสบกัน “ฉันดีใจกับเธอด้วยแคลร์ เธอเป็นคนดีควรคู่กับอะไรที่ดีๆ” อีกฝ่ายวางมือของเธอลงบนมือของชายหนุ่มพร้อมกับฉีกยิ้มแฉ่ง

 

“ฝากแคลร์ด้วยนะคะคุณลีโอเนล แต่ถึงไม่ฝาก คุณก็ดูแลยัยนี่ดีอยู่แล้วนี่เนอะ”

 

“ฉันจะดูแลให้ดีที่สุดเลย เธอไม่ต้องห่วงนะลอเรต” คนฟังหัวเราะคิกคักก่อนจะโถมตัวเข้ากอดพวกเธอทั้งสอง

 

“การได้เห็นคนที่ฉันรักมากที่สุดในโลกสองคนรักกันแบบนี้ ฉันดีใจที่สุดเลยค่ะ” แคลร์ขยับรอยยิ้ม รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ การที่มีเพื่อนที่ดีคนนี้ เธอก็รู้สึกเพียงพอมากกว่ามีเพื่อนมากมายในโลกเสียอีก

 

“ขอบคุณนะลอเรตต้า ฉันรักเธอนะ”

 

“ฉันก็รักเธอยัยบ๊อง!”

 

 

 

 

“แคลร์ มาคุยกับพ่อหน่อยสิ” เสียงเรียกดังขึ้นตอนที่เธอเดินผ่านประตูห้องนั่งเล่น ใบหน้าสวยชะโงกเข้าไปเห็นคุณพ่อกับคุณแม่นั่งอยู่บนโซฟา ทีวีเปิดสารคดีอะไรสักอย่างอยู่

 

“หนูตามหาพ่อกับแม่ตั้งนาน มาอยู่นี่นี่เอง แล้วนี่เปิดสารคดีอะไรคะเนี่ย ไม่ชอบดูกันไม่ใช่เหรอ”

 

“นี่กลับมาตอนไหนน่ะเรา” ชายวัยกลางคนเอ่ยขัดขึ้นมา

 

“เพิ่งกลับมาเลยค่ะ นี่ทานอะไรกันหรือยังคะ” มือบางยื่นมาจับมือเธอไว้ นัยน์ตาดุมองตรงมา

 

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยลูกคนนี้”

 

“หนูไม่ได้เปลี่ยนเรื่องสักหน่อย พ่อกับแม่มีอะไรกับหนูเหรอคะ”

 

“มีสิ ลูกบอกพ่อกับแม่มาก่อนดีกว่า สรุปว่าลีโอเนลคนนั้นกับลูกเป็นอะไรกัน เป็นแค่เพื่อนกันแบบที่เขาพูดจริงๆ หรือ” พอเธออ้าปากจะตอบ คนเป็นพ่อก็ขัดขึ้นมาอีก “พ่อกับแม่จริงจังนะ อย่ามาตลกกลบเกลื่อน”

 

“ก็…” เธออึกอัก ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบตามตรงหรือว่าอย่างไร

 

“แม่กับพ่อไม่ได้จะว่าอะไรลูกหรอกนะ พวกเราเป็นห่วง ลูกเป็นลูกสาวคนเดียวของพวกเรา แม่น่ะไม่อยากให้มีอะไรปิดบังกันและกัน อีกอย่างลูกก็โตแล้ว พวกเราไม่เจ้ากี้เจ้าการชีวิตลูกหรอกนะ” เธอหันไปสบนัยน์ตาของคุณแม่ ก่อนที่จะเอื้อมมือทั้งสองข้างไปจับมือของทั้งคู่ไว้

 

“คุณลีโอเนลกับหนูเพิ่งคบกันวันนี้เองค่ะ”

 

“หมอนั่นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ไหนเล่ามาซิ” คนเป็นพ่อยังทำเสียงดุ แม้ดวงตาจะอ่อนแสงลงแล้ว เธอส่งรอยยิ้มหวานไปขัดตาทัพก่อนจะค่อยๆ เล่าเรื่องราวของอีกฝ่ายเท่าที่ตัวเองรู้ให้ฟัง

 

“คุณลีโอเนลเป็นคนดีค่ะ พ่อกับแม่ไปถามลอเรตเลยก็ยังได้ เขาคอยดูแลหนูตลอดเวลามีปัญหาอะไร อยู่กับเขาแล้วหนูสบายใจ ถึงเวลาที่รู้จักกันจะไม่มากนัก แต่หนูเชื่อในตัวเขาค่ะ”

 

“วันไหนก็พาเขามาทานข้าวที่บ้านบ้าง”

 

“พ่อกับแม่ไม่ห้ามหนูใช่มั้ยคะ”

 

“ไม่ห้ามหรอก แม่บอกแล้วว่าลูกโตแล้ว แม่เชื่อว่าคนที่ลูกเลือกคือคนที่ดีที่สุดแล้ว” แคลร์ยิ้มกว้างก่อนจะถลาเข้าไปกอดทั้งสองท่านไว้แน่น ใบหน้าสวยซบลงไปไหล่อุ่น

 

“ไม่ต้องมาอ้อนเลย เรื่องยังไม่หมดหรอกนะ” เธอผละใบหน้าออกมาเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมปล่อยอ้อมแขน “พ่อเขาห่วงเรื่องความฝันของลูกน่ะ” ครานี้เธอถอยตัวออกห่าง นัยน์ตาสีฟ้าใสเบนไปสบนัยน์ตาของชายคนเดียวในห้อง

 

“ฝันในอดีตของลูก พ่อจำได้ว่าลูกเคยบอกว่าจะตามหาใครสักคนในความฝันประหลาดนั้น” เขาหยุดคำพูดครู่หนึ่ง มือหนาขยับมาสัมผัสเรือนผมนุ่มของเธอ “พ่อไม่ได้ห้ามที่ลูกจะมีความรักกับใครสักคน แต่ลูกจะทำยังไงกับความฝันที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจอย่างนั้นหรือ หากมีความรักแล้วลูกจะไม่ลังเลในหัวใจ จะไม่เสียใจกับอะไรที่ยังค้างคาใช้ไหม”

 

ถ้อยคำนั้นทำให้หัวใจแกว่ง ภาพฝันถึงการลาจากของชายหญิงคู่นั้นยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ

 

ไม่มีทางที่ภาพคุณเฟรินจะหายไปจากหัวใจ ไม่มีทางที่เธอจะหายคาใจกับเรื่องนี้

 

“หนูมีความรักแล้วก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าหนูจะเลิกตามหาเขานี่คะคุณพ่อ หนูยังเลือกตามหาคุณเฟรินแม้จะมีใครสักคนข้างกาย มันเจ็บปวดก็จริงที่ไม่สามารถทำตามคำสัญญาในอดีตได้ แต่มันเจ็บปวดมากกว่าที่หนูแบกรับทุกอย่างไว้อย่างไร้เหตุผล” มือใหญ่ยังคงลูบผมของเธอไปมา

 

“ลีโอเนลคนนั้น รับเรื่องนี้ได้ใช่ไหม”

 

“ค่ะ คุณลีโอเนลรับรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เขาบอกว่าเคารพการตัดสินใจของหนูและจะช่วยตามหาด้วยค่ะ” เป็นครั้งแรกของวันที่เธอเห็นรอยยิ้มของชายผู้นี้

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้น รักษาเขาไว้ให้ดีๆ แล้วพาเขามาทานข้าวที่บ้านด้วยล่ะ” แคลร์ฉีกยิ้มกว้าง รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

 

“ค่ะ!”

 
= TALK =
สวัสดีค่า คุโจค่า หายไปอีกแล้ว 55555555

ชีวิตของยัยคุโจที่หายหัวเอาหายหัวเอา ขอโทษด้วยค่า

แต่รับรองว่าไม่หายไปเลยแน่นอนค่ะ

เพียงแต่ทนรอคุโจหน่อยนะคะ
แปบๆ ก็จะปลายเดือนสามแล้ว ไวมากกกกกกก เดี๋ยวๆ ก็จะครึ่งปีแล้ว 🙂

เป็นยังไงกันบ้างคะ เพื่อนๆ สบายดีเนอะ

ช่วงนี้คุโจเพิ่งย้ายงานได้เดือนกว่าๆ ยังคงวุ่นๆ ยุ่งๆ อยู่

อีกสักพักก็คงจะดีขึ้น ฮาาา
ก็ได้แต่หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะแต่งจบภายในปีนี้นะคะ ฮืออออ นานเหลือเกิน

ขอบคุณทุกคนที่ยังรอนะคะ ขอโทษที่หายไปนานด้วย

ว่าจะคัมแบคแล้วก็มาได้แปบๆ หายอีกล่ะ แง

ตอนหน้าจะเจ้มจ้นกว่านี้ค่ะ รอกันหน่อยน้า 🙂
พูดคุยทักทายกับคุโจได้ค่า

ไปตามคุยกันในเพจ ไม่ก็ในทวิตเตอร์ได้ค่ะ

เรามีแฮชแท็คฟิคแล้วด้วยนะคะ
#kakujofic
KA’KUJO

PAGE : https://www.facebook.com/Kakujo59

TWITTER : https://twitter.com/kakujo59

[Special Fic] #สิบสี่มีนาคมของเฉินเหว่ยถิง Part4

[Special Fic] #สิบสี่มีนาคมของเฉินเหว่ยถิง Part 4

พบกันอีกครั้งกับฟิค #วิ่งเปี้ยวโปรเจกต์

#สิบสี่มีนาคมของเฉินเหว่ยถิง

ซึ่งคราวนี้มาในธีมวันไวท์เดย์ของเฉินเหว่ยถิงค่ะ

โดยเราจะเขียนต่อกัน 3 คนคนละ 2 หน้าถ้วน ไม่มีการบอกพล็อต ต่อแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้

อยากรู้ไหมคะ ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป มาลุ้นด้วยกันสิคะ

ความเดิมตอนที่แล้ว

[PART 1]

[PART 2]

[PART 3]

——————————————–

ใครบอกว่าเขาเป็นลุงคนนั้นจะต้องโดนฟาดให้ปากแตก!

เฉินเหว่ยถิงปรามาสในใจทั้งๆ ที่นั่งหอบแฮ่กอยู่ริมสนาม นัยน์ตาคู่คมจับจ้องอยู่บนบอร์ดคะแนน เจ้าบ้าหยางหยางกับเด็กแสบคนนั้นทำคะแนนนำไปไกลแล้ว ทีมของเขายังคงไล่หลังอยู่อย่างอ่อนล้า ป๋อหรันที่ดูคึกคักในตอนแรก พอเห็นเขาหมดแรงข้าวต้มตั้งแต่ยังไม่ครบ 5 นาทีแรกก็เริ่มเอื่อยเฉื่อย

เขาไม่ได้แก่! เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนต่างหากเล่า!!

โชคดีชะมัดที่หมิงเอินไปติวอยู่กับอี้ชิงกับไอบ้าหยุนห่าว ไม่อย่างนั้นเขาต้องขายขี้หน้าตายแหงๆ

ลุง เอ้ย ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์เมื่อคนตัวเล็กแต่แข็งแรงวิ่งเข้ามาหาเสียจนหน้าม้าเปิด ใบหน้าร่าเริงแจ่มใสพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม

“ลุง เกะกะ” สิ้นประโยคนั้นลูกบาสก็ลอยมาจากทางไหนสักทางจนแทบจะกระแทกหน้า เฉินเหว่ยถิงกลิ้งตัวหลบไปตั้งหลักทันที พอหันกลับมาเชียนซีก็ยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่เขาเพิ่งนั่งเสียแล้ว

พอมือแกร่งโยนลูกบาสให้หยางหยาง เด็กแสบก็หันมาแลบลิ้นใส่อีกที “ลุง กลับหอไปนอนเหอะไป”

ไอเด็กบ้า เรียกลุงเป็นรอบที่เท่าไรแล้ว!!!

คนตัวสูงลุกพรวด ไม่สนใจอาการหน้ามืดวิงเวียน เขาพร้อมพาลพาโลเต็มที่ ขอแค่ใครเข้ามาสะกิดตอนนี้ก็จะโวยวายเสียงดังให้ถึงนอกโลกเลย

ราวกับมีคนท้าทาย เมื่อมีแรงสะกิดมาจากด้านหลัง เขาหันขวับไปเตรียมพร้อมอ้าปากจะด่า

แต่ทุกคำพูดก็กลืนหายไปในลำคอพอเห็นว่าคนที่ยืนอยู่คือใคร

“อะไรว—เอ้ย สวัสดีครับ หูเหล่าซือ” อาจารย์สอนวิชาเอกของเขายืนมองด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่ รูปร่างสูงโปร่งพร้อมกับความอบอุ่นที่รายล้อม ทำให้นักศึกษามากหน้าหลายตาพร้อมใจกันลงเรียนวิชานี้ โชคดีที่เป็นวิชาบังคับของเขา ทำให้สามารถลงเรียนได้อย่างง่ายดาย

“มายืนโวยวายอะไรอยู่ในสนามบาสล่ะเหว่ยถิง”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้จะโวยวายอะไร”

“อย่างนั้นหรือ นี่เราไม่ได้เล่นบาสอยู่ใช่มั้ย”

“เปล่าครับ อาจารย์มีอะไรหรือครับ”

“อาจารย์รบกวนฝากเพื่อนใหม่ไว้สักสองสามชั่วโมงได้ไหม พอดีอาจารย์มีธุระด่วน ที่มหาวิทยาลัยกำลังมีโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาข้ามประเทศน่ะ ก่อนหน้านี้เราเคยส่งนักเรียนของเราไปที่นั่นมาแล้ว ครานี้ก็ถึงคราวที่ทางนั้นจะส่งคนมาดูงานบ้าง ถ้ายังไง อาจารย์ฝากด้วยนะ” เขาเอียงหัวไปมองด้านหลังคนตัวสูง

“เอาล่ะ จุ้นเหมียน มานี่หน่อยสิ” คนถูกเรียกหันมามอง ใบหน้าขาวใสนั้นเต็มไปด้วยเครื่องหน้าเด่นที่ลงตัว รูปร่างอาจจะไม่ได้สูงโปร่งอะไรแต่ร่างกายก็แข็งแรงสมส่วน มองผ่านๆ แล้ว ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตานั้นน่าจะเต็มไปด้วยกล้ามมัดที่สวยงาม

“เหว่ยถิง นี่จุ้นเหมียนนะ เป็นคนเกาหลี ถ้าเรียกชื่อจีนไม่หันก็เรียกชื่อเกาหลีแล้วกัน ชื่อว่าซูโฮน่ะ พอพูดภาษาจีนได้บ้าง แต่ถ้าไม่ไหวก็คุยภาษาอังกฤษ เรื่องภาษาเราไม่น่าเป็นห่วงอยู่แล้วนี่ ภาษาของจุ้นเหมียนก็ดี สื่อสารกันไม่ยาก” เขาพยักหน้ารับ

ยังไงซะวันนี้ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว หมิงเอินก็คงติดแหง่กอยู่กับอี้ชิงยันเช้า ป๋อหรันก็ไม่รู้จะเล่นบาสถึงเมื่อไร จะให้เขากลับห้องไปมองกองช็อคโกแลตก็เศร้าใจเกินไป อยู่ดูแลแขกให้อาจารย์ก็คงจะไม่เป็นไร

“ฝากด้วยนะ จุ้นเหมียน นี่เหว่ยถิง เขาจะดูแลคุณสักระยะหนึ่ง พอดีผมติดธุระนิดหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา”

“ไม่เป็นไรครับ คุณทำธุระตัวเองให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับมาก็ได้” สำเนียงภาษาจีนที่ออกมาจากริมฝีปากสวยนั้นฟังง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลย

“ได้ครับ เอ้อ เหว่ยถิง นี่ของตอบแทน” มือเรียวสวยยื่นกล่องช็อคโกแลตสีขาวสะอาดตามาให้ “วันนี้ไวท์เดย์ใช่มั้ยล่ะ ถึงเราจะไม่ได้ให้อะไรอาจารย์ในวันวาเลนไทน์ แต่ก็คิดซะว่าเป็นของที่อาจารย์อยากให้เพื่อตอบแทนละกันนะ”

“ขอบคุณครับอาจารย์!” เขารับมาด้วยความตื้นตัน

อาจารย์หูเดินจากไปแล้ว แต่เขายังคงชื่นชมกล่องสีขาวสะอาดตาในมืออยู่ ของขวัญวันไวท์เดย์ชิ้นแรกในปีนี้

…..

แต่คิดดูอีกที ผู้ชายที่ไหนเขาจะดีใจที่ได้ของขวัญวันไวท์เดย์กันนะ

เสียงกดชัตเตอร์เรียกให้คนที่กำลังมึนงงหลุดจากภวังค์ พอหันไปมองก็เห็นแขกผู้มาเยือนยกกล้องค้างอยู่ ซูโฮยิ้มเจื่อน

“ขอโทษนะครับ พอดีผมเห็นท่าทางคุณสวยดีเลยอยากถ่ายเก็บไว้ ถ้าคุณรังเกียจ เดี๋ยวผมจะลบให้นะ” เขาสะบัดมือไปมาพร้อมกับระบายรอยยิ้มกว้าง

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว กล้องสวยดีนะครับ”

“รุ่นเก่าแล้วแหละครับ แต่ใช้ดีมากจนผมไม่อยากเปลี่ยนเลย เหว่ยถิงชิก็เล่นกล้องเหรอครับ” เขาขมวดคิ้วกับคำว่าเหว่ยถิงชิ คุ้นๆ ว่าอี้ชิงเคยบอกว่าเวลาเรียกใครสักคนว่าคุณในภาษาเกาหลีให้เรียกลงท้ายว่าชิ…

“เหว่ยถิงชิ…”

“อ๋า ผมเผลอหลุดภาษาเกาหลีไป ขอโทษด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ พอฟังภาษาจีนที่ปนภาษาเกาหลีแล้วก็น่ารักดี คุณมาจีนบ่อยหรือครับ พูดภาษาจีนคล่องจัง”

“ผมมาไม่บ่อยครับ แต่เพราะอยากเรียนภาษานี้ก็เลยตั้งใจเรียน จริงๆ ค่อนข้างยากแต่ก็เรียนมา 7 ปีได้แล้วครับ ก็เลยพอที่จะคุ้นเคยแล้ว”

“7 ปีเลยเหรอครับ!”

“ครับผม” เขาพยักหน้า รู้สึกตื่นตะลึงกับระยะเวลาที่ชายหนุ่มคนนี้ใช้ บทสนทนาขาดตอนไปครู่หนึ่งเพราะเขาเอาแต่อยู่ในภวังค์ แขกของมหาวิทยาลัยยืนยุกยิกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำลายความเงียบ

“จริงสิครับ เมื่อครู่ผมเห็นคุณทำท่าดีใจตอนได้ของขวัญจากคุณหู ผมรู้ว่ามันอาจจะแปลกๆ แต่ถ้าไม่รังเกียจ ช่วยรับนี่ไปนะครับ” กล่องกระดาษสีขาวถูกดึงออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง บนกล่องสกรีนชื่อร้านช็อคโกแลตราคาแพงยี่ห้อดังที่เขาไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิดจะซื้อ

“สุขสันต์วันไวท์เดย์นะครับคุณเหว่ยถิง ขอบคุณสำหรับมิตรภาพในวันนี้ จนกว่าคุณหูจะกลับมา หวังว่าเราจะทำความรู้จักกันจนสนิทกันมากกว่านี้นะครับ”

“เอ๊ะ เอ่อ แต่ผมไม่ได้ให้อะไรคุณนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็น ของขวัญสำหรับมิตรภาพที่งอกเงยในวันนี้แทนได้มั้ยครับ” เป็นครั้งที่สองของวันที่เขารู้สึกเขินขึ้นมา มือหนารับกล่องสีขาวมาถือไว้

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณนะครับ คุณอยากเดินเที่ยวรอบมหาวิทยาลัยมั้ยครับ เดี๋ยวผมพาไป” ซูโฮยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู

“คุณเหว่ยถิงไม่ได้ติดธุระอะไรใช่มั้ยครับ”

“ไม่ครับ ไปมั้ยครับ ก่อนที่ฟ้าจะมืดเสียก่อน”

——————————- TBC part 5 ——————————-

ทวงตอนต่อได้ที่ >> @conicat

#สิบสี่มีนาคมของเฉินเหว่ยถิง

*เรือผีของพี่ต้องแล่น พี่บอกเลย*

[Special Fic] #สิบสี่มีนาคมของเฉินเหว่ยถิง Part 1

 

[Special Fic] #สิบสี่มีนาคมของเฉินเหว่ยถิง Part 1

พบกันอีกครั้งกับฟิค #วิ่งเปี้ยวโปรเจกต์

#สิบสี่มีนาคมของเฉินเหว่ยถิง

ซึ่งคราวนี้มาในธีมวันไวท์เดย์ของเฉินเหว่ยถิงค่ะ

โดยเราจะเขียนต่อกัน 3 คนคนละ 2 หน้าถ้วน ไม่มีการบอกพล็อต ต่อแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้

อยากรู้ไหมคะ ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป มาลุ้นด้วยกันสิคะ 😀

[ PART 1 ]

 

 

แสงสีส้มจางๆ ลอดเข้ามาตามช่องว่างของมู่ลี่ สะท้อนผนังสีขาวสะอาดตาแลดูสวยงาม เสียงแมลงที่รบกวนมาตั้งแต่ฟ้ายังมืดสนิทเงียบหายไปนานแล้ว เหลืองเพียงเสียงนกน้อยสดใสยามออกหากิน

 

เฉินเหว่ยถิงนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดหน้าโต๊ะทำงานมาตั้งแต่ฟ้าไม่มีแสง ดวงตาคมกริบทอดมองแต่กล่องของขวัญสิบกว่ากล่องตรงหน้า นั่งมองโดยไม่ขยับตัวไปไหน เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขึ้นเช้าวันใหม่แล้ว

 

มือหนาเอื้อมไปหยิบยางลบสีขาวสะอาดตาข้างกล่องกระดาษมา ในหัวครุ่นคิดถึงแต่เจ้าของที่มีรอยยิ้มสดใสในวันนั้น วันที่โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู

 

เขาถอนหายใจยาว

 

เช้าวันใหม่แล้ว เช้าวันที่ 12 มีนาคม วันเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน หลังจากว้าวุ่นใจมาเป็นเดือน ในที่สุดก็ถึงวันนี้ที่เขาต้องตัดสินใจ

 

ถ้าวันนี้เป็นไวท์เดย์ก็คงจะดี แต่ทำไมวันที่ 13 ถึงเป็นวันเสาร์กันนะ

 

ช่างเถอะ เช้าแล้วนี่ ถึงเวลาแล้ว

 

 

 

 

 

เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทั่วมหาวิทยาลัย เมื่อหนุ่มหล่อชื่อเสียกระฉ่อนเดินเข้ามาพร้อมกับถุงกระดาษสีสะอาดตาในมือ

 

เฉินเหว่ยถิง นักศึกษาหนุ่มหล่อจากคณะวิทยาศาสตร์ที่สาวๆ ทุกคนหมายปอง ว่ากันว่า ใครที่สามารถถอดเขี้ยวเล็บของหนุ่มคนนี้ได้ คนนั้นจะคือผู้ได้รับชัยชนะแห่งยุคนี้

 

เสียงซุบซิบรอบตัวทำให้คนไม่ได้นอนหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม จริงๆ เขารู้ดีว่าการถือถุงหน้าตาประหลาดมาที่มหาวิทยาลัยในวันนี้จะถูกจ้องมองมากแค่ไหน แต่จะให้ซ่อนถุงในถุงเขาก็ทำไม่ลง หรือให้เก็บถุงลงกระเป๋าเขาก็ทำไม่ได้

 

ถ้าถุงยับขึ้นมาจะทำยังไงกันเล่า!!

 

ความหงุดหงิดยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อถูกใครบางคนเซถลาเข้ามาชน พอหันไปมองก็เห็นสาวสวยยิ้มหวานอยู่ข้างกาย ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรก็มีมือแสนคุ้นเคยคล้องมาที่ไหล่

 

“พอเลย เล่นมุกนี้เหว่ยถิงไม่สนใจหรอกนะ” ชายหนุ่มคนมาใหม่พูดพร้อมกับยกมือข้างที่ว่างดันหน้าหญิงปริศนาให้ห่างออกไป

 

จริงๆ ก็ไม่ใช่หญิงปริศนาเสียทีเดียว เพราะเขาคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ว่าเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมรุ่น

 

“จิ่งเป่าอ่า เค้าก็แค่อยากรู้นี่นา ทำไมต้องมาขวางทางด้วยเล่า” น้ำเสียงกระเง้ากระหงอดยิ่งทำให้ปวดหัว อีกทั้งเจ้าเพื่อนซี้ตัวดีของเขาทำเสียงจิ้จ้ะกลับไป คนหล่ออย่างเขาอยากจะจับมันทุ่มลงกับพื้นสักที

 

“โองการสวรรค์เป็นความลับนะ”

 

“จิ่งเป่า!”

 

“หยุดทำเสียงแบ้วได้แล้ว ฉันปวดหัว” เฉินเหว่ยถิงพยักหน้า

 

…ฉันก็ปวดหัวเสียงแก ไอบ้าป๋อหรัน…

 

หลังจากทนฟังเสียงเล็กงุ้งงิ้งอีกสองสามประโยค เจ้าเพื่อนบ้าก็สามารถลากเขาออกมาได้แต่โดยดี จริงๆ สกิลการไหลลื่นของเขาดีกว่านี้ ทว่าวันนี้ง่วงจนเกินกว่าจะทำอะไรไหว

 

“เฮ้อ หลุดออกมาสักที ยัยนั่นก็ตื้อแกเหลือเกิน ทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงของในมือแกก็ไม่ใช่ของตัวเองน่ะ”

 

“คนที่ให้ช็อคโกแลตชายหนุ่มนะ พอเห็นคนๆ นั้นถือของมาในวันไวท์เดย์ก็ต้องคิดกันบ้างนั่นแหละ” คนข้างๆ กรอกตาไปมา เขาหัวเราะขึ้นจมูกก่อนจะสะบัดตัวหนี

“ว่าแต่แกจะเอาไปให้ใครน่ะ”

 

“แกจะถามทำไมวะ”

 

“เอ้า วันวาเลนไทน์ฉันก็ให้ช็อคโกแลตแกนะเว้ย แกเอามาให้ฉันใช่มั้ยล่ะ สารภาพมาซะดีๆ”

 

“ไม่ได้ให้แก อีกอย่างแกก็ให้ฉันตามมารยาท ไม่ต้องมาทวงบุญคุณกันเลย” ป๋อหรันทำเสียงจิ้จ้ะอีกรอบ เขาถอนหายใจยาวก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วโยนของในมือใส่คนที่กำลังทำหน้ากวนประสาทอยู่

 

“อะไรวะ”

 

“ของแกไง” จิ่งป๋อหรันขมวดคิ้วแล้วมอง ช็อคโกแลตขนาดใหญ่กว่านิ้วก้อยเล็กน้อยสีขาวสะอาดตา มีตัวอักษรสีฟ้าอ่อนรูปตัว J ประดับอยู่ด้านบน

 

“แกให้ฉันจริงๆ เหรอวะ” คนมากสเน่ห์ยักคิ้ว ทว่ายังไม่ทันที่เพื่อนสนิทจะได้ดีใจก็รู้สึกราวกับโดนถีบตกเขา

 

“ตอนไปซื้อของเขาให้เลือกฟรีชิ้นหนึ่งน่ะ ฉันเลยเอามาให้นาย กินให้อร่อยล่ะเพื่อนรัก” พูดจบก็ตบบ่าคนที่กำลังอ้าปากค้างปุๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในอาคาร

 

มีเสียงโวยวายตามหลังมา เขาแกล้งยกมือโบกไปมา ทว่ายังไม่ทันจะหันไปฉะกับเพื่อนกวนประสาทให้หายง่วงก็หันไปเจอใครบางคนเสียก่อน

 

คนตัวสูงหน้าขาวใสที่เดินมากับคนตัวสูงหน้าตาหงิกงอ

 

ความง่วงหายไปทันที เฉินเหว่ยถิงพุ่งตัวเข้าไปประชิด นัยน์ตาโตทอประกายหันมามองด้วยความตกใจ

 

“เหวอ เหว่ยถิงเกอ!”

 

“หมิงเอิน ว่างหรือเปล่า ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” คนหน้าขาวหันไปมองเพื่อนครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมามองเขา

“มีอะไรกับผมเหรอครับ พอดีเจ้าหาวจะชวนผมไปทำธุระด้วยกัน”

 

“ไม่เกิน 5 นาที ขอเวลาแปบเดียว หูหยุนหาว ฉันขอตัวหมิงเอินสักครู่นะ” แล้วไม่รอคนหน้าหงิกอ้าปาก มือใหญ่คว้าข้อมือคนที่ต้องการแล้วลากไปด้วยกันทันที

 

 

 

 

 

โชคดีที่ตอนนี้สวนในมหาวิทยาลัยค่อนข้างเงียบสงบ มีผู้คนเดินไปเดินมาประปรายทว่าไม่มีใครสนใจพวกเขาทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย

 

“เกอมีอะไรกับผมเหรอ”

 

“ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก เอ้านี่ ฉันให้” เฉินเหว่ยถิงจีบสาวมาก็มาก แต่ก็ไม่เคยตื่นเต้นเหมือนครั้งนี้มาก่อนเลย นอกจากจะนอนไม่หลับทั้งคืนแล้ว มือก็ยังสั่นไปมาอย่างกับสาววัยแรกรุ่นทั้งๆ ที่อายุอานามก็ไม่ได้น้อยแล้วแท้ๆ

 

“อะไรน่ะครับ” เด็กหนุ่มรับถุงมาพร้อมกับเปิดดู ข้างในเป็นกล่องช็อคโกแลตสีขาวสวย ประดับด้วยโบว์สีขาวและการ์ดกากเพชรวิบวับ นัยน์ตากลมโตเหลือบขึ้นมามองครู่หนึ่งก่อนจะหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน

 

“ไวท์เดย์? ของขวัญวันไวท์เดย์? เกอให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

 

“ใช่ ฉันให้นาย” คิ้วหนาๆ บนดวงตาคู่สวยขมวดจนแทบจะเป็นปม

 

“เดี๋ยวนะครับเดี๋ยว ผมไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่มั้ย”

 

“ไม่”

 

“ไวท์เดย์คือวันที่ผู้ชายจะมอบของตอบแทนหญิงสาวที่ให้ช็อคโกแลตไม่ใช่เหรอครับ ทำไมเกอมาให้ผมล่ะ ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะ” คนพูดยังพูดไม่จบ คนกำลังเขินก็แทรกขึ้นมาก่อน

 

“ไม่ใช่ผู้หญิงก็ให้ได้ไม่ใช่หรือไง”

 

“มันก็ใช่ แต่เกอครับ ผมไม่ได้ให้ช็อคโกแลตเกอนะครับ”

 

 

________________TBC________________

ทิ้งท้าย: คอมเมนท์กันได้ที่  #สิบสี่มีนาคมของเฉินเหว่ยถิง นะคะ

TBC Part 2 by @ConiCat

 

[Baramos Fanfiction – A La Prochaine ] CH11

[Baramos Fanfiction – A La Prochaine ] CH11

 

Title : ขออนุญาต

Fandom : The Thief of Baramos

Paring : Kalo x Felin

Genre : NL

Rating : PG

About : ภาพการจากลาของคนนัยน์ตาสีฟ้าและคนนัยน์ตาสีน้ำตาลในความฝันที่หมุนย้อนมาในวันเดียวกันของทุกปี เรียกร้องให้เธอตามหาใครที่อยู่ในความฝัน เพื่อทำตามคำสัญญาของหัวใจที่เคยให้กัน

 

 

‘คืนนี้เธอจะนอนกี่โมง’

 

ผ่านไปตลอดทั้งคืน แคลร์ก็ไม่กล้าถามเพื่อนสนิทถึงข้อความเหล่านั้น คำถามติดอยู่ที่ริมฝีปาก เธอกลัวว่าหากถามออกไปจะได้คำตอบที่ทำร้ายจิตใจกลับมา

 

ลอเรตต้ากับลีโอเนลเจอกันตั้งแต่ยังเด็ก สนิทกันมากจนถึงขั้นว่าอีกฝ่ายยกบ้านเช่าหลังข้างๆ ให้อยู่ แม้เขาจะบอกว่าคนตัวเล็กคือน้องสาว และเพื่อนเธอจะสนับสนุนความรู้สึกของเธอในครั้งนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังมีอะไรหรือไม่

 

ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจเพื่อนสนิท แต่สิ่งที่เธอไม่ไว้ใจตอนนี้คือความระแวงของตัวเอง

 

เธอไม่กล้าถาม กลัวว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริง และกลัวว่าจะไม่มีอะไร สุดท้ายแล้วก็เป็นเธอที่ใจแคบไปเอง

 

ทว่าเมื่อคืนก่อนจะหลับไป เธอได้ยินเสียงคนข้างกายขยับ พอเหลือบตาขึ้นมามองก็เห็นมือเล็กกำลังพิมพ์มือถือยุกยิก ใบหน้าหวานจ้องมองมือถืออยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่มือถือจะสั่นอีกรอบเจ้าตัวถึงล้มตัวลงนอน

 

ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าคนที่อีกฝ่ายติดต่อด้วยก็คงไม่พ้นชายหนุ่มคนนั้น

 

ทำไมลอเรตต้าต้องติดต่อบอกเวลาเข้านอนกับคุณลีโอเนลด้วย

 

สุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะเป็นคำถามคาใจเธอไปอีกนานแค่ไหนกันเธอก็ยังไม่รู้เลย

 

 

 

 

“อากาศดี้ดีเนอะวันนี้” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความสดใส นัยน์ตาสีฟ้าใสหันไปมอง เธอตั้งใจจะแซวอะไรบางอย่าง แต่สีหน้าคนข้างกายนั้นดูไม่สู้ดี ใบหน้าหวานมีร่องรอยของความหม่นหมอง และดวงตาสีเขียวแสนใคร่รู้สวยนั้นก็เหม่อลอยแปลกๆ

 

ท่าทีของเพื่อนทำให้เธอเลิกสงสัยเรื่องราวในหัวใจ

 

“ใช่ อากาศดี แต่หน้าตาเธอไม่ค่อยดีเลยนะลอเรตต้า เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ แต่ฉันก็เห็นเธอหลับปุ๋ยเลยนี่นา” มือเล็กยกขึ้นจับหน้าตัวเอง

 

“แต่ฉันสบายดีนะ หรือเมื่อคืนจะไม่ได้ทาครีมคืนเดียว หน้าก็เลยหมองอย่างนั้นเหรอ!” เสียงสูงพร้อมกับท่าทางแสร้งทำทำให้เธอหมั่นไส้

 

“ล้อเลียนได้แบบนี้แสดงว่าสบายดีสินะยะ”

 

“สบายดีน่า เธออย่าเป็นห่วงเลย มึนหัวนิดหน่อยแต่ไม่เป็นอะไรหรอก อากาศเย็นๆ แล้ว น่าจะใกล้เปลี่ยนฤดูเต็มทีแล้วแหละ” มือบางยกขึ้นจับหน้าผากเพื่อน อุณหภูมิภายในค่อนข้างปกติ

 

“ไม่มีไข้ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ถ้าไม่สบายต้องบอกนะ ฉันจะได้พาไปหาหมอ”

 

“ค่า คุณแม่”

 

“สวัสดีครับสาวๆ มาจู๋จี๋อะไรกันอยู่กลางถนนครับเนี่ย” เสียงทักทายจากด้านหลังเรียกให้ทั้งสองหันไปมอง ร่างสูงใหญ่สองคนเดินเคียงข้างตามหลังมา นัยน์ตาสีน้ำตาลเจ้าเสน่ห์มองตรงมาที่เธอด้วยความเป็นห่วง

 

“สวัสดีค่าคุณฟรองซ์ คุณลีโอเนล” คนตัวเล็กเอ่ยทักด้วยความร่าเริง

 

“สวัสดีค่ะ พอดีลอเรตหน้าตาไม่สู้ดีน่ะค่ะ ฉันก็เลยตรวจดูนิดหน่อย” คนตัวสูงกว่าสีหน้าเปลี่ยนไปชั่วครู่แต่เธอไม่ทันสังเกต เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับแนบมือลงบนหน้าผากอีกฝ่ายแบบเดียวกับที่เธอทำ

 

“ฮื่อ ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณลีโอเนลอย่าห่วงเลยนะ อากาศเปลี่ยนเฉยๆ คนที่จะเป็นอะไรต้องยัยคนนี้ต่างหาก” มือบางเกี่ยวแขนเธอเข้าไปใกล้ “ไข้ก็เพิ่งฟื้น เมื่อวานก็หายตัวไปทั้งวัน ไม่รู้ไปทำอะไรมา อากาศก็ไม่ค่อยดี ไปตากลมมาตั้งเท่าไรก็ไม่รู้”

 

“ใช่ครับคุณแคลร์ เมื่อวานหายไปไหนมาครับ พวกผมเป็นห่วงแทบแย่” เธอหันไปมองหน้าตัวการที่ยืนไม่รู้ไม่ชี้อยู่ นัยน์ตาสีเขียวแสนอบอุ่นไม่สบตาเธอแต่ริมฝีปากกลับยิ้มกริ่ม

 

“ฉัน ฉัน ไปพักผ่อนหัวใจมานิดหน่อยน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่หายไป”

 

“วันหลังไปไหนต้องบอกนะครับรู้มั้ย เจ้านี่ก็อีกคน คนเขาวิ่งหาคุณแคลร์กันให้ยุ่งดันหายตัวไปเฉย ดีนะที่ลอเรตติดต่อได้น่ะ” ฟรองซ์พาลใส่เพื่อนสนิทของตัวเอง คนตัวเล็กสุดเผลอหลุดหัวเราะคิกออกมา

 

“หัวเราะอะไรครับลอเรต”

 

“ไม่มีอะไรค่ะ เราไปมหา’ลัยกันดีกว่ามั้ยคะ อากาศชักจะเย็นๆ แล้วสิ ฉันอยากไปขดตัวผิงฮีตเตอร์แล้ว” แม้จะยังดูสงสัย แต่เขาก็ไม่โต้เถียง มือหนาผายไปข้างหน้า

 

“เชิญครับๆ ปล่อยให้สาวๆ มายืนอยู่ท่ามกลางอากาศแบบนี้ มีหวังพระเจ้าลงโทษกันพอดี”

 

 

 

 

วันนี้ไม่มีเรียน พวกเธอจึงขลุกกันอยู่แต่ในห้องวิจัยทั้งวัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ลอเรตมาเคาะประตูเรียกตอนฟ้ามืดแล้ว คุณฟรองซ์ที่กำลังวุ่นวายกับโปรแกรมบางอย่างไล่ให้เธอกลับไปก่อน เขาบอกว่าอาจจะค้างที่ห้องคืนนี้ให้เธอกลับไปพักผ่อน

 

ใกล้วันส่งความคืบหน้าครั้งใหญ่แล้ว พวกเธอต้องทำงานหนักกันมากกว่าทุกที

 

“หลังจากนี้ต้องวุ่นกันไปอีกหลายเดือนเลยแหละ” คนตัวเล็กบ่นหงุงหงิง ใบหน้าหวานดูหมองลงกว่าเมื่อเช้า

 

“เธอโอเคมั้ยน่ะ หน้าตาไม่ดีอีกแล้วนะ” อีกฝ่ายหัวเราะคิกคักพร้อมกับโถมตัวลงมากอดแขนเธอไว้

 

“สบายมาก คืนนี้กลับไปนอนอีกคืนก็หายดีแล้ว เธอไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตัวเองนั่นแหละ พักผ่อนเยอะๆ เพิ่งฟื้นไข้มาเดี๋ยวก็ล้มหงายหลังไปอีก”

 

“ไม่หรอก ฉันแข็งแรงดีแล้ว”

 

“งั้นก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องห่วง” คนข้างๆ เงียบไปครู่หนึ่ง “นี่ แคลร์ ฉันอาจจะหายหน้าหายตาไปสักสองสามอาทิตย์นะ อาจจะกลับมาอีกทีตอนที่ส่งความคืบหน้าไปแล้ว” เธอหันไปมองคอแทบหัก

 

“จะไปไหน”

 

“ทำงานไง ฉันกับคุณลีโอเนลได้รับการติดต่อมาจากมหาวิทยาลัยของเมืองข้างๆ น่ะ เขาบอกว่ามีเครื่องมือที่ทันสมัยกว่าแล้วก็น่าจะประยุกต์เข้ากับงานวิจัยของพวกเราได้ เลยเชิญไป ฉันคุยกับคุณลีโอเนลแล้วคิดว่าน่าจะดีกว่าการนั่งทำอยู่ที่มหาวิทยาลัย ต่อให้ไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่าเดิม เราก็ยังยืนยันอะไรหลายๆ อย่างได้”

 

“แล้วเธอไหวเหรอ”

 

“ไหวสิ สบายมาก แต่เธอจะติดต่อฉันไม่ได้เลยนะ ทางโทรศัพท์หรืออะไรก็ไม่ได้ ที่นั่นไม่มีสัญญาณเพราะว่ามันรบกวนอุปกรณ์ แต่ไม่นานหรอกแต่สามอาทิตย์เอง เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว” หัวใจเธอไหววูบ ตั้งแต่จำความได้เธอก็อยู่กับเพื่อนสนิทมาตลอด แทบจะนับวันที่ไม่มีคนตัวเล็กอยู่ข้างกายได้เลย พอคิดว่าจะไม่ได้ติดต่อกันนานกว่า 3 อาทิตย์เธอก็รู้สึกไม่ดี

 

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิยะ ฉันไม่ได้ไปไหนสักหน่อย 3 อาทิตย์เองนะ”

 

“ฉันคงคิดถึงเธอแย่เลย” อีกฝ่ายฉีกยิ้มแฉ่ง นัยน์ตาสีเขียวมองนิ่งมาที่ดวงตาคู่สวย

 

“คิดถึงฉันหรือคิดถึงใครกัน หืม? ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะคอยคุมคุณลีโอเนลไม่ให้ชายตามองสาวที่ไหนเลย”

 

“ยัยบ้า ฉันห่วงเรื่องนั้นที่ไหนกันเล่า ฉันห่วงเธอต่างหาก ท่าทางก็เหมือนคนไม่สบายแล้วยังต้องไปทำงานอีก” เธอดึงเพื่อนสนิทเข้ามากอด ร่างบางตัวเย็นกว่าที่คิดไว้มาก ยิ่งทำให้หัวใจที่แกว่งไหวสั่นสะท้านกว่าเดิม “ฉันเป็นห่วงนะ ถ้าไม่สบายไปจะเป็นยังไง”

 

“มีคุณลีโอเนลอยู่น่า อย่าห่วงเลยนะ สบายมาก” คนตัวเล็กดันเธอออกนิดหน่อย นิ้วเรียวจิ้มมาที่คาง “แล้วก็นะ ฉันมีเรื่องต้องเคลียร์กับเธอ เมื่อวานแอบอ่านมือถือฉันใช่มั้ย”

 

คนมีชนักติดหลังสะดุ้ง ดวงตากลมสวยขยับไปมา

 

“ไม่ต้องมาทำเลิกลั่กเลย ข้อความของคุณลีโอเนลไม่แจ้งเตือนแสดงว่ามีคนเปิดดู แล้วในห้องก็มีแค่เธอ สารภาพมาซะดีๆ อย่าให้ฉันต้องเค้นนะ”

 

“ฉันขอโทษ”

 

“แล้วมีอะไรสงสัยทำไมไม่ถามยะ เห็นข้อความแล้วก็คิดมากด้วยใช่มั้ย” เธอพยักหน้าหงึก เพื่อนสาวหัวเราะร่าเริงแล้วดึงเธอเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง “ฉันกับเขาคุยกันเรื่องงานน่ะ ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลหรอกนะ ถ้าจะรักคุณลีโอเนลฉันคงรักไปนานแล้ว แต่นี่เขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่ง ส่วนฉันก็เหมือนน้องสาวของเขา ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย”

 

“…จริงๆ นะ”

 

“อือ ถ้าอยากจะหาคนที่อยู่กับเธอได้ชั่วชีวิต คนนั้นอาจจะไม่ใช่ฉัน แต่ถ้าจะหาคนที่เธอไว้ใจได้ตลอดชีวิตขอให้จำไว้นะว่าคนนั้นคือลอเรตต้าคนนี้ ฉันจะไม่มีวันหักหลังเธอ ฉันสัญญา”

 

“ทำไมพูดแบบนี้เล่ายัยบ้า”

 

“เพราะฉันรักเธอไงยัยบ๊อง เอาล่ะ หายกังวลแล้วใช่มั้ย” เธอพยักหน้า มือบางปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน ใบหน้าใสเต็มไปด้วยความร่าเริง “เป็นแบบนี้ก็ตั้งใจทำงาน แล้วอีก 3 อาทิตย์ค่อยเจอกันนะ”

 

“ติดต่อฉันได้ก็ติดต่อมาด้วยล่ะ”

 

“รับทราบค่ะคุณแม่ ไปเถอะ กลับบ้านกัน ฉันแวะไปกินข้าวที่บ้านเธออีกวันดีกว่า”

 

“ได้สิ”

 

ไม่น่าเลย เธไม่น่าระแวงเพื่อนสนิทคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

 

 

นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบไปมองประตูห้องวิจัย ร่างสูงของฟรองซ์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเซ็งๆ มือหนาจิ้มโทรศัพท์มือถือพร้อมกับบ่นอะไรงึมงำจนไปนั่งอยู่ที่โต๊ะก็ยังไม่หยุด

 

เธอหันไปมอง

 

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

 

“ก็เจ้าลีโอน่ะสิครับ ผมติดต่อไม่ได้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โทรไปหาก็ปิดเครื่อง ห้องวิจัยก็ไม่อยู่ บ้านก็เงียบกริบ หมอนั่นไม่เคยหายไปแบบนี้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย” เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

“เขาไม่ได้บอกอะไรคุณฟรองซ์เหรอคะ”

 

“ไม่บอกน่ะสิครับ ผมถึงโทรหายิกๆ อยู่เนี่ย”

 

“คุณลีโอเนลไปกับลอเรตน่ะค่ะ เห็นบอกว่าไปทำงานวิจัยที่เมืองใกล้ๆ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเท้าคางด้วยสีหน้าไม่ค่อยไว้วางใจ

 

“ผมก็พอได้ยินมาบ้างครับว่าเมืองใกล้ๆ มีห้องวิจัยเกี่ยวกับหุ่นยนต์ แต่ถ้าแค่ไปทำงานทำไมต้องปิดมือถือด้วยล่ะครับ ผมว่ามันแปลกๆ”

 

“ลอเรตบอกว่าบริเวณนั้นไม่มีสัญญาณค่ะ มันจะรบกวนอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์”

 

“หึ นั่นยิ่งแล้วใหญ่ นี่มันปี 2100 แล้วนะครับ ผมว่าในโลกนี้ไม่มีที่ไหนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แล้ว อีกอย่าง คลื่นถูกพัฒนามาไกลมาครับ สมัยก่อนอาจจะมีการรบกวนการเดินเรือหรือการขับเครื่องบินบ้าง แต่สมัยนี้ไม่มีแล้วครับ ผมว่าประหลาด”

 

“มันอาจจะ…” เธอพยายามนึกหาข้ออ้าง ทว่ากลับนึกไม่ออกเลยสักอย่าง แม้เธอจะโตมาในยุคนี้และเคยชินกับอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ใกล้ตัวมากมายขนาดไหน แต่กับเรื่องไกลตัวนั้นเธอไม่ค่อยรู้เรื่อง

 

“เจ้าลีโอปิดเครื่องทำไมนะ นี่ลอเรตก็ปิดเครื่องใช่มั้ยครับ”

 

“ปิดค่ะ คือฉันไม่ค่อยเชี่ยวชาญอะไรพวกนี้เท่าไร แต่คุณฟรองซ์รู้สึกว่าแปลกๆ หรือคะ”

 

“แปลกครับ แปลกมากๆ ลีโอเนลไม่ใช่คนที่ยอมให้มือถือห่างตัว ไม่ใช่ว่าหมอนั่นติดโทรศัพท์นะครับ แต่ว่ามีคนติดต่อเขาค่อนข้างเยอะ ตามปกติแล้วจะไม่ยอมปิดเครื่องนานๆ แบบนี้ ผมก็เลยไม่ค่อยวางใจ สังหรณ์พิกลๆ ยังไงก็ไม่รู้ ช่วงที่ผ่านมาทั้งสองคนมีอะไรแปลกๆ มั้ยครับ”

 

“ไม่นะคะ ปกติ…ไม่สิ” ท่าทางแปลกๆ ของเพื่อนสนิทในวันก่อนที่จะแยกกันปรากฏขึ้นมาในหัว

 

ร่างกายของลอเรตต้าไม่แข็งแรงมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ทว่าตอนอายุ 12 ปีก็ได้พบหมอมือดีทำให้อาการดีขึ้น ตั้งแต่ตอนนั้นเธอก็ไม่เห็นเพื่อนสนิทแสดงอาการอะไรอีกเลย มีเพียงแค่การตอบสนองที่ช้าผิดปกติ ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการรักษาในคราวนั้น

 

เพราะเพื่อนไม่เคยทำให้เห็นว่าตัวเองผิดปกติ เธอจึงลืมไปแล้วว่าลอเรตต้ามีโรคประจำตัวอยู่ อีกทั้งเป็นอาการร้ายแรงจนเคยเกือบคร่าชีวิตไปหลายครา

 

วันนั้นคนตัวเล็กเหมือนจะไม่สบาย สีหน้าไม่สู้ดี ตัวก็เย็น อีกทั้งยังพูดอะไรแปลกๆ ใส่เธออีก แต่เพราะเธอมัวแต่รู้สึกไม่ดีที่เพื่อนจะห่างไปไกลจึงไม่ทันสังเกต

 

“มีอะไรหรือครับ”

 

“ลอเรตมีโรคประจำตัวค่ะ แต่ว่าตอนเด็กๆ เหมือนจะรักษาจนหายไปแล้ว ฉันก็เลยลืมไป แต่วันสุดท้ายที่เจอกันเธอมีสีหน้าไม่ค่อยดีค่ะ เหมือนจะไม่สบายด้วยซ้ำ คุณฟรองซ์ว่าจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้มั้ยคะ”

 

“ผมว่าอย่าเพิ่งคิดในแง่ร้ายดีกว่าครับ ลอเรตบอกไว้หรือเปล่าครับว่าจะกลับมาเมื่อไร”

 

“ประมาณ 3 สัปดาห์ค่ะ ยังไงก็ต้องกลับมาส่งความคืบหน้างานวิจัยอยู่แล้ว” แม้สีหน้าจะยังไม่สู้ดี แต่ฟรองซ์ก็พยักหน้า ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจ

 

“คิดไปก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ พวกเราคิดมากไปเอง ถ้าเจ้าตัวบอกแบบนั้น พวกเราก็เชื่อตามนั้นแล้วกัน คุณแคลร์อย่าคิดมากเลยครับ”

 

เธอถอนหายใจยาว จริงๆ แล้วคนที่ทำให้เธอรู้สึกกังวลขึ้นมาก็คือเขานั่นแหละ

 

“ค่ะ ฉันจะพยายามไม่คิดอะไรนะคะ”

 

ฉันเชื่อใจเธอนะ ยัยบ้าลอเรต

 

 

 

 

แต่จนแล้วจนรอดเธอก็วางใจไม่ลง เพราะฉะนั้นทุกคืนก่อนนอนเธอจะกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิท แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่รับแต่ก็อดโทรหาไม่ได้ นอกจากนี้ยังโทรไปหาชายหนุ่มอีกคนด้วย

 

แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่ได้เปิดเครื่อง

 

ใบหน้าสวยซุกลงกับกองหนังสือ นึกเป็นห่วงเพื่อนสนิทขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ยิ่งพอคิดถึงคำพูดของนักวิจัยคู่หูก็ยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่ มือสวยหยิบมือถือขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้เธอกดเข้าแอพลิเคชันสำหรับสนทนาโดยเฉพาะ

 

เธอรู้ว่าถ้าอีกฝ่ายไม่มีสัญญาณ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่ได้เปิดเครื่องก็จะไม่เห็นข้อความนี้ แต่ถ้าหากใครสักคนบังเอิญเปิดมือถือแล้วอยู่ในที่ๆ มีสัญญาณพอดีก็จะได้รู้ว่าเธอกำลังเป็นห่วงอยู่

 

อย่างน้อยถ้าเห็นข้อความนี้ ก็ช่วยตอบเธอมาหน่อยว่าไม่มีอะไรมากไปอย่างที่คิดไว้

 

ลอเรตต้องไม่เป็นอะไร มีคุณลีโอเนลอยู่ด้วย ไม่เป็นอะไรแน่นอน

 

 

 

 

เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองยังนอนฟุบอยู่กับโต๊ะหนังสือ พอหันไปมองนาฬิกาก็เห็นว่าใกล้สายแล้วจึงกุลีกุจอเข้าห้องน้ำไปทันที

 

ช่วงนี้ไม่มีเรียนเพราะเป็นช่วงก่อนส่งความคืบหน้างานวิจัยครั้งใหญ่ แต่เมื่อวานก่อนกลับมาคุณฟรองซ์บอกให้มาแต่เช้าเพราะรันโปรแกรมทิ้งไว้ อาจจะมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ

 

ร่างสูงโปร่งหมุนซ้ายขวาไปมา พยายามทบทวนว่าขาดอะไรหรือเปล่าก่อนจะหันไปเห็นมือถือบนโต๊ะ เธอคว้ามาก่อนจะตั้งใจโยนใส่กระเป๋า แต่แสงไฟสีเขียวกระพริบถี่เรียกให้เธอชะงัก

 

สีเขียวคือสีแจ้งเตือนว่ามีข้อความจากแอพลิเคชันชื่อดัง

 

หัวใจไหววูบไปด้วยความตื่นเต้น

 

พอเธอปลดล็อคมือถือก็เห็นว่าข้อความถูกส่งกลับมาจากลีโอเนลตั้งแต่ช่วงฟ้ายังไม่สว่างดี

 

‘ผมกับลอเรตสบายดีครับคุณแคลร์ ที่เมืองนี้ไม่มีสัญญาณเลย นี่ผมออกมาทำธุระที่ตลาดเห็นเขาบอกว่าตรงนี้พอมีสัญญาณ เลยเปิดมือถือดู ไม่ต้องห่วงนะครับ ลอเรตแข็งแรงดีครับ วันนั้นแค่พักผ่อนน้อยไปหน่อย คุณแคลร์ก็อย่าลืมพักผ่อนนะครับ’

 

ริมฝีปากบางขยับยิ้มหวานเมื่อเธอเห็นรูปถ่ายที่ส่งมาด้วย ชายหนุ่มกับเพื่อนสนิทยิ้มกว้างอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ ด้านล่างของรูปมีข้อความสั้นๆ ว่า

 

ผมคิดถึง เป็นห่วงนะครับ

 

ภายในช่องท้องร้อนวูบวาบ รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ นิ้วเรียวลูบบนรูปแผ่วเบา นัยน์ตาสีฟ้าใสจ้องมองดวงตาของเขาผ่านหน้าจอสวย

 

แค่คำพูดสั้นๆ แค่นี้ก็ทำให้ภายในร่างกายพองฟูราวกับโดนอัดลม

 

เธอก็คิดถึงเขา คิดถึงลอเรต และก็ห่วงไม่แพ้กัน

 

มือบางบรรจงพิมพ์ข้อความกลับไป หวังว่าเขาจะเห็นข้อความของเธอนะ

 

 

 

 

หลังจากได้รับการติดต่อจากชายหนุ่ม แคลร์ก็มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น การที่ไม่มีเรียนทำให้มีเวลากับงานวิจัยมากกว่าเดิม เพราะฉะนั้นตั้งแต่เช้ามืดจรดค่ำพวกเธอจะอยู่แต่ในห้องทำงาน

 

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงวันส่งความคืบหน้าแล้ว

 

คุณฟรองซ์สะโหลสะเหลไปส่งความคืบหน้าที่ตึกใหญ่ก่อนจะไล่ทั้งเธอและตัวเองกลับไปพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์ เรื่องงานวิจัยจะมาว่ากันใหม่วันจันทร์

 

เพราะฉะนั้นวันเสาร์ที่แสนสดใส เธอตั้งใจจะนอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่ม

 

ทว่าเสียงโทรศัพท์ก็ปลุกหญิงสาวออกจากห้วงนิทราที่แสนสงบ ใบหน้าสวยเงยขึ้นมาจากหมอนนุ่ม เธอพยายามหาว่าต้นตอของเสียงมาจากไหน หลังจากควานมือปัดป่ายไปมาได้สักพักก็เจอตัวทำลายความสงบนอนนิ่งอยู่ข้างหมอน

 

ชื่อที่สว่างวาบอยู่บนหน้าจอทำให้สติสตังกลับเข้าที่อย่างรวดเร็ว เธอเด้งพรวดขึ้นมาจากเตียง

 

“สะ สวัสดีค่ะคุณลีโอเนล!”

 

‘สวัสดีครับคุณแคลร์ เช้าวันนี้อากาศดี คุณตื่นหรือยังครับเนี่ย นี่ผมโทรมาปลุกใช่มั้ยครับ’

 

“เอ๊ะ เอ่อ ใช่ เอ้ย ไม่ใช่ค่ะ! คุณโทรมาฉันแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่าคะ” ปลายสายหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นทำให้ใบหน้าใสขึ้นสีเรื่อ รู้สึกอายที่ปล่อยไก่ออกไปตัวเบ้อเริ่ม

 

‘คุณแคลร์อยู่บ้านหรือเปล่าครับ

 

“อยู่ค่ะ ว่าแต่นี่คุณลีโอเนลอยู่ไหนคะเนี่ย กลับมาจากเมืองข้างๆ หรือยังคะ?”

 

ผมอยู่หน้าบ้านคุณแคลร์ครับ รวบรวมความกล้าอยู่นานก็ไม่กล้ากดกริ่งสักที ถ้ายังไงลงมาเปิดประตูให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ

 

คำพูดของเขาทำให้เธอแทบจะกลิ้งตกลงมาที่เตียง ร่างสูงโปร่งพรวดพราดลงมาจากห้องนอนทั้งๆ ที่สติยังไม่เต็มร้อย ขายาวแทบจะพันกันจนเกือบจะทำให้เธอกลิ้งตกบันได

 

เสียงโครมครามนั้นทำให้ชายวัยกลางคนที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่ห้องรับแขกหันมามอง คุณพ่อมีสีหน้างุนงงเมื่อเห็นเธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่ประตูบ้าน

 

“อ้าว แคลร์ ไหนบอกว่าวันนี้จะตื่นสายยังไงล่ะลูก ทำไมตื่นเช้าจังเลย” เธอไม่ได้ตอบกลับไปเพราะยังคิดคำพูดอะไรไม่ออก ภายในหัวยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

 

ทำไมชายหนุ่มที่ไปทำงานที่ต่างเมืองถึงมาปรากฏกายอยู่ที่หน้าบ้านเธอในเช้าวันเสาร์แบบนี้

 

ประตูหน้าบ้านเปิดพรวด ร่างสูงใหญ่ในชุดสุภาพเรียบร้อยยืนยิ้มอยู่ด้านหน้า เธอได้แต่กระพริบตาปริบๆ มีคำถามมากมายอยู่ล้นหัว

 

“คุณลีโอเนลมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” นี่เป็นคำถามเดียวที่เธอนึกออกในเวลานี้

 

“กลับมาตั้งแต่เมื่อวานครับ แต่ก็ยุ่งๆ กว่าจะส่งรายงานกว่าจะเก็บของก็ดึกมากแล้ว ผมกับลอเรตเลยไม่ได้โทรมาบอก ขอโทษด้วยนะครับ”

 

“เอ๊ะ ขอโทษ ขอโทษอะไรกันคะ แล้วลอเรตล่ะคะ” เธอยังคงทำหน้าเหลอหลา

 

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงน่ะครับ ส่วนลอเรตสบายดีครับ ตอนนี้น่าจะยังไม่ตื่น”

 

“แล้วคุณลีโอเนลมาหาฉันทำไมเหรอคะ”

 

“ผมอยากจะมาชวนคุณไปข้างนอกด้วยกันน่ะครับ” คำตอบนี้ยิ่งทำให้เธองุนงงเข้าไปใหญ่ จากเดิมที่จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งสับสนเข้าไปอีก

 

ทว่ายังไม่ทันได้ต่อบทสนทนาอะไรก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ใบหน้าหวานของคุณแม่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

 

“มีแขกมาหรือลูก” ชายหนุ่มโค้งตัวให้หญิงวัยกลางคนหนึ่งที “ทำไมไม่ชวนเข้าบ้านล่ะเรา มายืนคุยกับแขกหน้าบ้านได้ยังไงกัน แล้วนี่ลูกมารับแขกทั้งๆ ที่อยู่ในชุดนอนหรือนี่ ตายจริง ลูกคนนี้” เธอก้มหน้าลงมอง พอเห็นว่าตัวเองอยู่ในชุดนอนลายการ์ตูนตัวโคร่ง ดวงหน้าหวานก็ขึ้นสีแดงก่ำ ยิ่งเมื่อเงยหน้าไปเห็นคนตัวสูงเบนหน้าซ่อนรอยยิ้มก็ยิ่งเขินเข้าไปอีก

 

“ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว เดี๋ยวแม่รับแขกเอง ไป”

 

“ฝากด้วยนะคะแม่ คุณลีโอเนลคะ ตามสบายเลยนะคะ!”

 

หญิงสาวรีบวิ่งพรวดพราดกลับไปที่ห้อง คุณพ่อกับคุณแม่ของเธอไม่เคยได้ยินชื่อของชายหนุ่มมาก่อนเพราะฉะนั้นการปล่อยให้เขาอยู่กับทั้งคู่ตามลำพังไม่ใช่เรื่องดีแน่ เธอจึงแค่ล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบกลับลงมาด้านล่าง

 

นักวิจัยหนุ่มนั่งยิ้มอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่แล้ว ส่วนตรงข้ามเขาคือคุณพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงียบๆ อยู่

 

“ลงมาแล้วจะมายืนงงอะไรของเราอีกล่ะหืม แคลร์ มานั่งสิ” คุณแม่ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวดุ มือสวยประคองถ้วยชามาพร้อมกับกิเซล ร่างสูงโปร่งถลาลงไปนั่งข้างแขกผู้มาเยือนทันที

 

นัยน์ตาสีเขียวหันมาสบพร้อมกับรอยยิ้มอุ่น ก่อนจะเบนสายตาไปมองหุ่นยนต์แม่บ้านที่กำลังเสิร์ฟขนมอยู่

 

“นี่กิเซลที่คุณแคลร์เคยพูดถึงสินะครับ”

 

“ใช่ค่ะ เธออยู่กับเรามาก็หลายปีแล้ว” อีกฝ่ายทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงกระแอมไอก็ดังมาจากคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เธอเกาแก้มตัวเอง

 

ทุกครั้งที่หญิงสาวพาเพื่อนผู้ชายเข้าบ้าน คุณพ่อจะมีท่าทางแบบนี้เสมอ

 

“คุณพ่อคุณแม่คะ นี่คุณลีโอเนลค่ะ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับลอเรต” คนสูงวัยกว่าปรบมือหนึ่งที ใบหน้าสวยเอียงลงเล็กน้อย

 

“แม่เคยได้ยินลอเรตต้าพูดถึงอยู่ เห็นบอกว่าเป็นนักวิจัยคู่หูของเธอ ใช่มั้ยจ้ะ”

 

“ใช่ครับ แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทกับเฟรองซ์ นักวิจัยคู่หูคุณแคลร์ด้วยครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณอา” ชื่อของนักวิจัยอีกคนก็ยังเป็นชื่อใหม่สำหรับชายหญิงทั้งสอง แม้ทั้งคู่จะมีสีหน้างุนงงแต่ก็พยักหน้ารับ

 

“ผมเอานี่มาฝากครับ เป็นชารสดีของเมืองนี้น่ะครับ ยี่ห้อนี้ไม่ค่อยมีใครรู้จักแต่ผมทานบ่อย พอดีเห็นคุณแคลร์ชอบทานชาผลไม้ผมก็เลยคิดว่าที่บ้านน่าจะชอบดื่มชากัน” เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาถือกล่องใบหนึ่งที่ห่อกระดาษสีสวยมาด้วย ชายหนุ่มยื่นมันให้กับคุณแม่

 

“ไม่เห็นต้องลำบากเลยจ้ะ แค่แวะเวียนมาเยี่ยมแม่ก็ดีใจแล้ว นานๆ ทียัยตัวแสบจะพาเพื่อนมาที่บ้านจนแม่เป็นห่วงว่านี่มีเพื่อนกับเขาบ้างหรือเปล่า”

 

“คุณแม่คะ”

 

“แล้วนี่มาแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า” คนที่เงียบมานานพูดขึ้นมา มือหนาวางหนังสือพิมพ์ลงแล้ว นัยน์คมดุจ้องคนตรงข้ามนิ่ง

 

“ผมจะมาขออนุญาตคุณอาพาคุณแคลร์ไปข้างนอกด้วยกันน่ะครับ ช่วงที่ผ่านมางานเยอะมาก ผมเห็นว่าช่วงนี้ค่อนข้างว่างเลยอยากชวนเธอไปพักผ่อนน่ะครับ”

 

“ไปไหน”

 

“วันนี้อากาศค่อนข้างดี ผมตั้งใจจะขึ้นภูเขาน่ะครับ”

 

“ไปกันสองคน อย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงที่ทุ้มลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที

 

“ครับผม รับรองว่าผมจะพากลับมาถึงบ้านก่อนตะวันตกดินครับ” หญิงสาวเจ้าของเรื่องยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก อยู่ดีๆ ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวขึ้นมาในเช้าวันหยุด มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร มาขออนุญาตพาเธอไปเที่ยวทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถามเธอเลยแม้แต่คำเดียว

 

“ในฐานะอะไรอย่างนั้นหรือ ลีโอเนล”

 

“เพื่อนครับ”

 

“ฉันมะ–” เสียงดุเงียบหายเมื่อมือบางวางลงบนต้นแขน ใบหน้าสวยแม้จะมีร่องรอยของวัยส่ายไปมา พอเห็นแบบนี้ คนดุก็ไม่พูดอะไรต่อ

 

“แคลร์อยากไปมั้ยลูก พ่อกับแม่ให้สิทธิ์การตัดสินใจกับเรา ลูกโตแล้วพวกเราจะไม่ว่าอะไร”

 

“เอ๊ะ?! หนูเหรอคะ!”

 

“ก็ใช่น่ะสิ ลีโอเนลชวนลูกนะ ไม่ได้ชวนพ่อกับแม่” เธอหันไปมองคนข้างกาย พอเห็นเขามองกลับมาด้วยนัยน์ตาอบอุ่นเหมือนเดิมก็ยิ่งนึกอะไรไม่ออก

 

“ขอโทษนะครับที่มาชวนกะทันหันโดยไม่ได้บอกอะไรก่อน ผมแค่อยากชวนคุณไปด้วยกันก็แค่นั้นเอง” แม้จะยังคลางแคลงในหัวใจ แต่คำพูดที่เหมือนจะแฝงความรู้สึกบางอย่างนั้นก็ทำให้เธอปล่อยผ่านไปไม่ได้

 

สังหรณ์ในหัวใจบางอย่างบอกเธอว่าควรจะออกไปกับเขา

 

“ถ้ายังไงหนูจะรีบกลับมานะคะคุณพ่อคุณแม่”

 

คุณลีโอเนลไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล น่าจะมีเหตุผลบางอย่างที่เขามาชวนเธอกะทันหันแบบนี้

 

 

= TALK =

 

สวัสดีค่า คุโจค่ะ!

ห่างหายกันไปนานเลย ขอโทษด้วยนะคะ > v <

 

เนื้องเรื่องหลังจากนี้จะเข้มข้นขึ้นแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงเรื่อยๆ พักผ่อนยาวๆ

อีกสักสองตอนจะเริ่มเข้มข้นกว่าเดิมค่ะ (มั้ง…)

 

ไหนๆ ก็หายไปนาน ก็เลยคิดว่าควรจะกลับมาอย่างสง่างาม (?)

ก็เลยเลือกกลับมาในวันเกิดของคาโลค่ะ!

 

สุขสันต์วันเกิดนะเจ้าชายน้ำแข็ง! มีความสุขมากๆ น้า

รู้จักกันมาก็หลายปีแล้ว ถ้านับเวลาจริงๆ ป่านนี้คงมีลูกกับเฟรินไปแล้วแน่ๆ เลย

ขอให้มีความสุขมากๆ น้า

เจ้าชายองค์น้อยของแฟนๆ ทุกคน

 

ไม่รู้จะพิมพ์อะไรแล้ว ฮา

ช่วงนี้เรายุ่งมาก มากกกก กไก่สามล้านตัว

แต่จะพยายามมาอัพฟิคให้ได้เร็วที่สุดนะคะ

ขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งกัน แล้วก็ขอบคุณที่จะรอค่ะ!

 

ไปตามคุยกันในเพจ ไม่ก็ในทวิตเตอร์ได้ค่ะ

เรามีแฮชแท็คฟิคแล้วด้วยนะคะ 🙂

 

#kakujofic

 

KA’KUJO

PAGE : https://www.facebook.com/Kakujo59

TWITTER : https://twitter.com/kakujo59

[AU] TingYang – ซินซื่อเตอเกาฝง (END)

心事的高峰

[ ซินซื่อเตอเกาฝง ]

ความในใจ ของ ยอดเขา

AU

เฉินเหว่ยถิง x หยางหยาง

( 8 )

 

 

พระองค์ไม่ได้คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่าจะได้ยินคำถามนี้ ทว่าแววตาของเฉินเหว่ยถิงกลับจริงจังเสียจนพระองค์ตรัสอะไรไม่ออก นัยน์เนตรคมทอดพระเนตรมองชายหนุ่มตรงหน้า

 

คำถามนี้ได้ยินเป็นครั้งที่สองแล้ว ความรู้สึกยามได้ยินไม่ต่างอะไรจากคราวก่อนเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างอัดแน่นอยู่ข้างในใจจนไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้

 

“ตอบหม่อมฉันได้ไหมพะยะค่ะ พระองค์มิใช่โอรสสวรรค์แห่งแผ่นดินนี้แล้ว ไม่ได้เป็นฮ่องเต้ที่จำต้องเก็บหัวใจไว้เพื่อใคร ช่วยตอบหม่อมฉันที ว่าทรงรักหม่อมฉันบ้างไหม”

 

สายลมพัดโชยหอบกลิ่นหอมของดอกไม้มากระทบจมูก ภาพตรงหน้าคุ้นเคยในความทรงจำอย่างน่าประหลาด

 

 

 

 

องค์ชายตัวน้อยที่วิ่งถลาเข้าไปหาพี่ชายตัวโต มือก็ยื่นดอกโบตั๋นสีชมพูสวยให้พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “ข้าให้เหว่ยถิงเกอ” สุรเสียงแจ่มใสตรัส คนตัวสูงย่อตัวลง

 

“ให้ข้าทำไมหรือกระหม่อม นี่คือดอกที่องค์ชายทรงปลูกเองมิใช่หรือ”

 

“ใช่แล้ว นี่คือดอกไม้ที่ข้าปลูกเอง ข้าให้เพราะข้ารักเหว่ยถิงเกอ”

 

“รักข้าอย่างนั้นหรือ”

 

“ข้ารักท่าน ข้ารักเกอ” มือหนาหยิบดอกไม้ไปพร้อมกับเอื้อมมือโอบพระวรกายแนบอก

 

“ข้าก็รักพระองค์”

 

 

 

 

“ข้า” เสียงของพระองค์สั่นระริก หยาดอัสสุชลยังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย “ข้ารักท่าน เหว่ยถิงเกอ” รอยยิ้มกว้างระบายบนใบหน้าคนฟัง พระองค์ถูกมือใหญ่ดึงเข้าไปกอดราวกับภาพซ้อนในอดีต

 

“หม่อมฉันก็รักพระองค์ รักจนยอมมอบทุกอย่างให้” พระหนุถูกจับเชยขึ้นสูง และโดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากหนาก็แนบลงมาบนพระโอษฐ์ จุมพิตอุ่นอ่อนหวานเสียจนพระทัยสั่นสะท้าน พระเนตรสวยหลุบลง

 

จูบหวานล้ำยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางสายลมเย็น ใบหน้าคมคายถอยห่างออกมาเพียงนิดก็ขยับเข้าไปใกล้อีก ริมฝีปากอุ่นยังคงคลอเคลียไม่ห่างจากพระโอษฐ์

 

“เหว่ยถิงเกอ…” สุรเสียงแหบพร่าดังออกมาเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระเพียงนิด อีกฝ่ายยังคงไม่ห่าง เรียวปากอุ่นแนบลงบนมุมพระโอษฐ์ ไล่ขึ้นไปบนพระปราง กดย้ำบริเวณพระขนงและพระนลาฏ ก่อนจะเลื่อนกลับมามอบจุมพิตหวานล้ำอีกครา

 

พระองค์ทรงหมดสิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืนจึงทำได้แต่ทิ้งตัวลงในอ้อมแขนอุ่น ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจของตัวเอง

 

เนิ่นนานเท่าไรพระองค์ไม่ทรงทราบได้ ทรงรู้เพียงแต่ว่าไออุ่นขยับออกห่าง พอเปิดพระเนตรขึ้นมาถึงเห็นองครักษ์หนุ่มยืนอยู่ไม่ห่าง มือหนาชูตราฮ่องเต้ของพระองค์ขึ้น

 

พระหัตถ์ยกขึ้นสัมผัสพระศอที่ว่างเปล่า

 

“เหว่ยถิงเกอ…”

 

“ทะเลสาบนี้เชื่อมต่อกับแม่น้ำทางภาคเหนือกระหม่อม หากไหลไปตามกระแสธารา พระองค์จะไปหยุดอยู่ในเวิ้งน้ำแห่งหนึ่ง ทรงมองหาก้อนหินก้อนใหญ่นะกระหม่อม ปีนขึ้นไปจะเห็นสัญลักษณ์ที่กระหม่อมทำไว้ เดินไปตามทางจะพบม้าทรงที่หม่อมฉันเตรียมไว้ให้ และหากพระองค์ยังไม่ลืมสัญลักษณ์ประจำตัวของหม่อมฉันก็จงเดินตามไปเรื่อยๆ ที่สุดของหนทางจะทรงพบหมู่บ้านขนาดเล็กในหุบเขาใหญ่ หมู่บ้านที่ตัดขาดการติดต่อกับผู้คนภายนอกแต่เป็นสถานที่ที่ดี” มือหนาลดของในมือลง

 

“หม่อมฉันอยากให้พระองค์ตั้งตัวใหม่ที่นั่น จะเป็นใครยังไงก็แล้วแต่ แต่ให้ดำรงสถานะสามัญชนที่นั่น เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี แต่งงานมีภรรยาและลูกที่น่ารัก”

 

“ทำไมท่านถึงเอ่ยเช่นนั้น”

 

“ข้าเพียงแต่ถางทางเตรียมสร้างชีวิตใหม่ให้พระองค์เท่านั้นเอง”

 

“เหว่ยถิงเกอไม่ไปกับข้าหรือ” อีกฝ่ายส่ายหัว ท่าทีนั้นทำให้พระทัยไหววูบ ความรู้สึกกลัวผุดขึ้นมาจนพระวรกายสั่นระริก

 

“ข้าไปกับพระองค์ไม่ได้พะยะค่ะ กบฏมิอาจมีชีวิตอยู่รอดได้บนแผ่นดินนี้”

 

“ก็แค่หนีไปด้วยกัน หรือต่อให้เจอข้าก็แก้ต่างให้ท่านได้” น้ำเสียงของพระองค์สั่นเครือ ความกลัวเข้าครอบงำทั้งจิตใจ

 

“ท่านอย่าลืมว่าท่านเป็นใคร ตอนนี้ท่านมิใช่ฮ่องเต้อีกต่อไปแล้ว” ตราฮ่องเต้ในมือของอีกฝ่ายสะท้อนแสงอาทิตย์วาววับ “และข้าก็ไม่ใช่องครักษ์เฉินเหว่ยถิงอีกต่อไปเช่นกัน”

 

“ก่อนออกมาข้าสั่งการให้ทหารของข้าเตรียมการอยู่ที่พระราชวัง ก่อนจะเขียนแผนของเหล่ากบฏทั้งหมดแล้วแอบส่งไปให้ เหล่ากบฏต้องการตรานี้และร่างไร้ลมหายใจของท่าน หนทางที่ถูกตัดขาดบริเวณเชิงเขามิใช่ผลงานของน้ำทางเหนือแต่เป็นผลงานของพวกข้า หมู่บ้านทางเหนือยังปลอดภัยดี ฎีกาที่ท่านได้รับเป็นของปลอม” นัยน์เนตรสวยเบิกกว้าง “ทหารทั้งห้านายที่ตามข้าขึ้นมาเป็นคนของจิ่งป๋อหรัน แม้ว่าจะจัดการพวกนั้นไปหมดแล้ว แต่ป่านนี้คนในวังน่าจะรู้เรื่องทั้งหมด รวมถึงซักทอดเรื่องราวมาถึงหม่อมฉันแล้วกระหม่อม”

 

“ไม่….” พระองค์เอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ

 

“อาจจะเป็นการกระทำที่บ้าคลั่ง แต่หากหม่อมฉันเป็นกบฏเสียเอง หม่อมฉันก็จะปกป้องพระองค์ได้ เจ้าพวกทหารอุกอาจพวกนั้นไว้ใจให้ข้าจัดการทุกอย่างเพราะข้าใกล้ชิดพระองค์”

 

“ไม่นะเหว่ยถิง ข้าจะไม่ทิ้งท่าน ข้าจะไม่” นิ้วเรียวยกขึ้นแตะพระโอษฐ์

 

“ไม่มีทางเลือกแล้วกระหม่อม หากข้าหนีไปกับท่านสุดท้ายแล้วก็จะเกิดการไล่ล่า ข้าไม่ได้ตัดสินใจทำแบบนี้เพื่อให้ทั้งชีวิตของท่านมีแต่การหลบหนี ข้าต้องการให้ท่านมีชีวิตใหม่ที่ดี”

 

“ชีวิตที่ไม่มีท่านไม่ใช่ชีวิตที่ดี เหว่ยถิงเกอ ข้าไม่พร้อมเสียใครไปอีกแล้ว” มือหนาเลื่อนลงสัมผัสพระพาหาพร้อมกับบีบแน่น เสียงวิ่งของม้าจากทางขึ้นหน้าผายิ่งทำให้หัวใจของพระองค์สั่นสะท้าน

 

“ข้ารักท่านนะ องค์ชายหยางหยาง” จูบร้อนแนบลงมาบนพระนลาฏ “จงมีชีวิตที่ดีต่อจากนี้”

 

“แล้วท่านล่ะ แล้วท่านล่ะ!”

 

“กบฏมิอาจมีชีวิตอยู่รอดได้กระหม่อม” เสียงม้าวิ่งหยุดลงด้านหลังขององครักษ์หนุ่ม แม่ทัพใหญ่นั่งอยู่บนม้าออกศึก มือใหญ่ง้างลูกธนูมาที่พวกเขา

 

“เฉินเหว่ยถิง พวกข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ปล่อยตัวฝ่าบาทซะ!”

 

“ไม่นะ ไม่ ไม่ชะ” มือใหญ่อีกข้างยกขึ้นมาปิดพระโอษฐ์ ใบหน้าคมคายส่ายไปมา

 

“ไม่ได้นะพะยะค่ะ อย่าทรงทำลายความตั้งใจของหม่อมฉัน”

 

“แต่ข้า แต่ข้า….”

 

“มีชีวิตที่ดีต่อจากนี้ ยิ้มให้ได้เฉกเช่นตอนเยาว์วัย” เสียงแม่ทัพตะโกนดังมาจากข้างหลังอีกครา คราวนี้ประกาศลั่นว่าหากนับถึงสามยังไม่ปล่อยตัวพระองค์ นายทหารจะยิงธนู “ข้ารักท่านนะองค์ชายน้อยของข้า”

 

“ข้าก็รักท่านเหว่ยถิงเกอ ข้าก็รักท่าน”

 

“แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับหม่อมฉันแล้ว” พระพาหาถูกดันให้ถอยหลัง พระองค์มิอาจขัดขืนแรงได้เลยแม้แต่น้อย “อย่าลืมที่หม่อมฉันบอก เวิ้งน้ำ สัญลักษณ์ ม้าทรง หุบเขา”

 

“ไม่…ไม่…” สุรเสียงทุ้มสั่นระริก พระองค์ทรงรับรู้ว่าตอนนี้ส้นเท้าไม่มีที่ให้เหยียบอีกต่อไปแล้ว

 

“ลาก่อนนะกระหม่อม” เสียงนับเลขสามดังพร้อมกับแรงดันพระวรกาย พระองค์ไถลจนหลุดลอยออกไปในอากาศ พระหัตถ์สวยพยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว

 

ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนที่จะหล่นลงมาสู่เบื้องร่าง คือร่างแกร่งของคนที่พระองค์ทรงรักหมดพระทัยกระตุกจนตัวโยน หัวธนูโลหะพุ่งทะลุออกมาทางอกข้างขวา โลหิตสีแดงฉานสาดกระเซ็น

 

“ไม่!!!!!!!!!!! เหว่ยถิงเกอ!!!”

 

แผ่นหลังกระแทกกับผืนน้ำ ความมืดมิดเข้าครอบงำประสาทสัมผัสทุกอย่าง ลมหายใจสะดุดจนกลืนน้ำเย็นเฉียบเข้าไปในปอด นัยน์เนตรคมปิดแน่นสนิท ทรงไม่แน่ใจเลยแม้แต่นิดว่าความเปียกชื้นบนพระพักตร์คืออะไรกันแน่

 

สติกำลังจะเลือนหาย พระวรกายถูกสายน้ำซัดให้ไหลไปตามกระแสธารา

 

เหว่ยถิงเกอ ข้ารักท่าน ข้ารักท่าน

 

 

 

 

ร่างกายแทบจะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะแล้ว นัยน์ตาเปิดลืมได้เพียงแค่ครึ่ง ความเจ็บปวดทั่วกายนั้นชาจนไร้ความรู้สึก

 

“ส่งกำลังลงไปหาตัวฝ่าบาท!!” เสียงสั่งดังขึ้นเหนือหัว เขาขยับรอยยิ้ม “ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้นะเหว่ยถิง ทั้งๆ ที่ข้าเคยไว้ใจท่านมากแท้ๆ”

 

เขาไม่ตอบ ยังคงนอนยิ้มอยู่ท่ามกลางกองโลหิตสีแดงก่ำ

 

ฝ่าพระบาท ด้วยหัวใจดวงน้อยๆ ของหม่อมฉัน ขอให้พระองค์ทรงมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่านี้ บนยอดเขานั้นหนาวเหน็บจนเกินไป หม่อมฉันขอให้พระองค์มีรอยยิ้มที่สดใส มีชีวิตใหม่ที่ดีที่เชิงเขานะกระหม่อม หม่อมฉันขอภาวนาจากหัวใจ

 

ไร้ความรู้สึกใดๆ แล้ว

 

ลมหายใจกำลังจะขาดห้วง

 

ภาพสุดท้ายที่ยังตรึงอยู่ในหัวคือรอยยิ้มหวานขององค์ชายตัวน้อย

 

ประสาทเหมือนจะถูกตัดขาด

 

เขายิ้ม

 

ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดำมืดไม่เหลืออะไรเลย

 

 

= TALK =

 

คุโจค่า > v <

ขอโทษที่จบแบบนี้นะคะ // หลบหม้อไหกะละมัง

สำหรับเราแล้ว คู่นี้ไม่ได้เป็นความรักที่เป็นไปได้แต่แรกแล้วค่ะ

ความรักของทั้งคู่อาจจะเป็นปรารถนาให้ต่างฝ่ายต่างมีความสุขมากกว่า

การกระทำขององครักษ์ถิงก็อาจจะบ้าบอไปหน่อยให้ความคิดหลายๆ คน

แต่สำหรับเจ้าตัวที่ปรารถนาเพียงแค่อยากให้องค์ชายน้อยมีความสุขและรอยยิ้ม

นี่ก็อาจจะเป็นหนทางเดียวที่เขานึกออก

ส่วนองค์ชายน้อย ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจยังไง แต่ชีวิตก็ยังต้องเดินต่อไป

ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้และเจ้าตัวรู้ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร

จะตอบรับรักองครักษ์ของตัวเองไหม

แต่ไม่ว่ายังไงความเป็นโอรสสวรรค์ก็มิอาจรักกับบุรุษได้อยู่แล้ว ทุกอย่างผิดพลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว

เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่ความรักเนอะ

สุดท้ายเราเลือกจบแบบปลายเปิดไว้

ไม่รู้ว่าชีวิตต่อจากนี้ของฮ่องเต้หยางหยางจะเป็นยังไง ให้คนอ่านตัดสินใจเองกันดีกว่าค่ะ

จะรอดจากสายน้ำไหม จะเดินทางตามหนทางที่อีกฝ่ายถางทางไว้ให้ หรือถูกจับตัวกลับมา

หรืออาจจะมีหลายๆ หนทางที่เจ้าตัวเลือกที่จะเดิน

ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะตอบได้นอกจากตัวฮ่องเต้เอง

ดีไม่ดี สุดท้ายแล้ว เฉินเหว่ยถิงอาจจะรอดด้วยซ้ำ

ซึ่งเราไม่เขียนต่อค่ะ 5555555

อยากให้ทุกคนต่อเรื่องราวความรักของสองคนนี้กันเองมากกว่า

แต่ถ้าถามว่าเราคิดว่ายังไง

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราก็เชื่อว่าทั้งสองคนก็ยังเลือกทางเดินนี้ค่ะ

เฉินเหว่ยถิงก็คงเลือกเป็นกบฏ หยางหยางก็คงเลือกปฏิเสธองครักษ์ของตนเอง

ส่วนปลายทางของหยางหยาง ถ้าพูดตามหลักความเป็นจริงก็ไม่รอดค่ะ 5555

คือไม่ได้จมน้ำหรอกค่ะ แต่แผนการขององครักษ์เฉินไม่รัดกุมพอ

สุดท้ายองค์ชายขึ้นจากน้ำก็มีทหารตามตัวเจออยู่ดี

คิดๆ แล้วทำไมใจร้ายจัง

เรื่องนี้เป็นฟิคสั้นๆ 8 ตอนเองด้วยซ้ำ แต่เป็นฟิคที่เขียนสนุกมาก

ได้ลองอะไรใหม่ๆ ได้กล้าเขียนอะไรที่อยากเขียนสักที

ขอโทษที่เป็นฟิคที่ร้าวทั้งเรื่องนะคะ 5555

ใช้เวลายาวนานมากกว่าจะเดินทางมาถึงตอนจบ เกือบจะล้มเลิกไปกลางคันหลายรอบแล้ว

แต่ก็มาต่อจนจบจนได้

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตาม ขอบคุณแนทหัวเรือถิงหยางที่อยู่ด้วยกัน

ยังคงพูดคุยกับเราได้ ติชม ด่าเราได้ (?) นะคะ 55555

เมาท์ได้ที่แฮชแท็คเดิมๆ น้า

#ความในใจของยอดเขา #kakujofic

รัก

คุโจ

16.01.17

ติชมเราได้เสมอนะคะ

ไปตามคุยกันในเพจ ไม่ก็ในทวิตเตอร์ได้ค่ะ

KA’KUJO

PAGE : https://www.facebook.com/Kakujo59

TWITTER : https://twitter.com/kakujo59

[AU] TingYang – ซินซื่อเตอเกาฝง (7)

心事的高峰

[ ซินซื่อเตอเกาฝง ]

ความในใจ ของ ยอดเขา

AU

เฉินเหว่ยถิง x หยางหยาง

( 7 )

 

 

ดาบยาวที่พาดอยู่บนพระศอ นัยน์เนตรสวยที่ทอดมองมาแทบจะทำให้เขาละทิ้งทุกความตั้งใจ แววตัดพ้อยิ่งทำให้เข่าของเขาสั่นระริก

 

“ทำไม เหว่ยถิง” พระองค์ตรัสกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เฉินเหว่ยถิงขยับรอยยิ้มขมขื่น

 

“หม่อมฉันต้องการล้มล้างราชบัลลังก์ ปลดพระองค์ออกจากตำแหน่งฮ่องเต้กระหม่อม”

 

“ทำไม ข้าทำอะไรผิด ข้าไม่ดีตรงไหน”

 

“พระองค์ไม่ทรงผิดอะไรกระหม่อม ไม่ผิดอะไรเลย”

 

“แล้วทำไมเจ้าถึงอยากปลดข้าออกจากตำแหน่งนี้ เหว่ยถิง! ตอบข้ามา!!!” สุรเสียงทุ้มตวาดลั่น หยาดพระอัสสุชลคลอหน่วยอยู่ที่นัยน์เนตร การโดนตราหน้าให้ปลดตัวเองลงจากตำแหน่งสูงสุดคือความเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่แล้ว แต่คนที่เอ่ยปากนั้นคือเขา คงทำให้พระองค์ปวดร้าวพระทัยจนครองสติแทบไม่ได้

 

ฝ่าบาท ทรงยกโทษให้หม่อมฉันเถอะพะยะค่ะ ทั้งหมดที่กระหม่อมทำเพราะอยากให้พระองค์มีความสุขแค่นั้นเอง

 

เขาหลับตาลง ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน จิ่งป๋อหรันมาพบเขาในวันที่พักผ่อนอยู่ที่บ้าน

 

.

 

.

 

.

 

.

 

นัยน์ตาคมมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การเดินเล่นหรือฝึกดาบ ทว่าเขาทำได้แต่เพียงนั่งอยู่บนเตียง แผ่นหลังร้าวระบมไปจนหมด

 

ต่อให้แข็งแรงมากแค่ไหน แต่โบย 50 ไม้ก็ทำให้ร่างกายรับไม่ไหวเหมือนกัน

 

เสียงเคาะประตูห้องเรียกให้เขาลุกขึ้นมานั่ง หลังยังคงร้อนผ่าว พอเอ่ยอนุญาตประตูก็เปิดออกมา ใบหน้าหล่อคมคายปรากฏขึ้นมาก่อนพร้อมกับรอยยิ้มแย้ม

 

“เป็นอย่างไรบ้างองค์รักษ์เฉิน”

 

“ก็ดี แม่ทัพป๋อ” แขกผู้มาเยือนเดินเข้ามา ใบหน้ายังคงพราวไปด้วยความอารมณ์ดี “เชิญนั่งสิ นึกอย่างไรถึงมาเยี่ยมข้าอย่างนั้นหรือ ถึงห้องพักข้าจะอยู่ในพระราชวังแต่ก็อยู่คนละฝั่งกับห้องทำงานของท่านนี่”

 

“ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วขนาดนั้น ว่าเฉินเหว่ยถิงทำการอุกอาจต่อฮ่องเต้จนโดนโบยถึง 50 ไม้ ข้าก็เลยอยากมาเห็นให้เป็นบุญตา” จิ่งป๋อหรันเอ่ยด้วยความครื้นเครง มือหนาบรรจงรินชาให้เจ้าของห้องและตัวเอง

 

“ข้าก็แค่ปากดีมากไปหน่อยแค่นั้น ไม่ได้ทำการอุกอาจใดๆ ตามที่ทุกคนกล่าวเสียหน่อย”

 

“ท่านไปพูดอะไรมาน่ะ ข้าสงสัยนัก ปกติเห็นท่านกับฝ่าบาทเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยนี่นา” เขายกน้ำชาขึ้นจิบ

 

“คนเราไม่มีทางไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันอยู่แล้วแม่ทัพป๋อ ข้าแค่พูดอะไรไม่เข้าหูพระองค์ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากเลย อีกอย่างไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรจนท่านต้องมาใส่ใจด้วย”

 

“ถ้าท่านว่าอย่างนั้นข้าก็ไม่ใส่ใจก็ได้ ว่าแต่หลังท่านเป็นอย่างไรบ้าง โบย 50 ไม้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย” องครักษ์หนุ่มหัวเราะในลำคอพร้อมกับเบนใบหน้าไปมอง

 

“ก็ยังแสบๆ อยู่บ้าง แต่หมอหลวงมาดูให้แล้ว ข้าว่าพรุ่งนี้น่าจะกลับไปเดินเล่นในวังได้แล้วแหละ”

 

“จะเร็วอย่างนั้นเลยหรือ”

 

“ให้ข้านอนนิ่งๆ ข้าทำไม่ได้หรอกนะป๋อหรัน” แม่ทัพหนุ่มยิ้มรับ

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่รบกวนท่านจะดีกว่า พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ เหว่ยถิง” ร่างแกร่งลุกขึ้นยืน ทว่ายังไม่ทันจะออกจากห้อง นัยน์ตาเรียวก็ตวัดกลับมามอง ใบหน้าคมคายฉายแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

 

“มีอะไรหรือเปล่า”

 

“มหาราชผู้บ้าคลั่งในอำนาจ ชายหนุ่มที่ไม่มีความสามารถพอจะเป็นดั่งโอรสสวรรค์ ไม่ฟังแม้แต่เสียงพร่ำบอกของเหล่าขุนนาง ท่านว่าคนแบบนี้ควรจะครองบัลลังก์ไหม เฉินเหว่ยถิง”

 

ประตูห้องปิดไปแล้ว ทว่าคำพูดนั้นยังคงตรึงอยู่ในสมอง

 

เขาหรี่ตา

 

…จิ่งป๋อหรัน…

 

 

 

 

ตราฮ่องเต้บนพระอุระของโอรสสววรค์สร้างความสะเทือนใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก หลังจากออกมาจากห้องทรงงานหัวสมองของเขาก็ว่างเปล่า การที่อยู่ดีๆ พระองค์นำตรามาห้อยที่พระศอไม่ได้หมายความอะไรมากไปกว่าการยืนยันสถานะของตนต่อใครๆ ว่า พระองค์คือโอรสสวรรค์

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่ารักหรือไม่รักทั้งนั้น พระองค์ไม่ได้ใส่พระทัยเรื่องคำตอบของคำถาม แต่สิ่งเดียวที่พระองค์ตั้งใจจะสื่อสารกับเขา คือ ฐานะระหว่างกัน

 

ฮ่องเต้มิอาจมีใจรักต่อสามัญชนที่มิใช่แม่แห่งแผ่นดินได้

 

เขาไม่ควรกระทำอุกอาจแบบนั้นเลย

 

ถ้ามีคนต้องเจ็บจากเรื่องนี้ก็ขอให้เป็นเขาที่เจ็บแต่เพียงคนเดียว ฝ่าบาทมีเรื่องในพระทัยมากเพียงพอแล้วไม่ควรมีเรื่องนี้เข้าไปยุ่งวุ่นวายอีก

 

เจ้าช่างโง่นักเฉินเหว่ยถิง

 

เขาถอนหายใจยาว พยายามหยุดเอาความคิดหม่นหมองในสมองแม้รู้ดีว่ายากขนาดไหน

 

เจ้าควรกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเสีย เฉินเหว่ยถิง

 

ยังไม่ทันจะหันตัวกลับไปตามทางเดิน นัยน์ตาคมก็เหลือบไปเห็นร่างแกร่งที่คุ้นเคยทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ไม่ไกล จิ่งป๋อหรันใช้เงาของต้นไม้บังร่างกายของตัวเองไม่ให้ใครเห็น

 

เขาหรี่ตา

 

ถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดวันนั้นยังคาอยู่ในหัวใจ สังหรณ์ประหลาดในใจส่งเสียงเตือนมานานมากแล้ว ยิ่งประจวบเหมาะกับท่าทีของแม่ทัพหนุ่มเขาก็ยิ่งไม่สบายใจ

 

พออีกฝ่ายใกล้ลับสายตาเขาก็แฝงตัวไปตามเงาไปไม่ห่าง

 

หลังจากเดินลัดเลาะไปได้สักพักหนึ่ง อีกฝ่ายก็หยุดลงที่ห้องเก็บอุปกรณ์เก่ากลางสวน ห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากทำมาจากไม้ทั้งหลัง ทว่าปัจจุบันไม่มีการใช้งานแล้วเพราะอยู่ค่อนข้างลึกและมีสภาพผุพัง

 

คนตัวสูงเหลือบตามองซ้ายขวาก่อนจะเคาะประตูสี่ที มีเสียงพึมพำลอดออกมา พอแขกมาเยือนตอบกลับ ประตูก็แง้มออกมาพาตัวเข้าไปด้านใน

 

เฉินเหว่ยถิงขมวดคิ้ว เขานั่งรออยู่อีกครู่หนึ่งพอเห็นว่าสถานการณ์ค่อนข้างปลอดภัยแล้วจึงค่อยๆ ย่องไปที่ห้องเก็บของ

 

หน้าต่างทุกบานสนิท ช่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากการผุพังตามกาลเวลาก็มีแผ่นไม้มาปิดจากด้านใน ถึงอาคารนี้จะไม่มีการใช้งานและฮ่องเต้ไม่ได้มีรับสั่งให้รื้อถอน แต่กระนั้นก็ไม่มีรับสั่งให้ซ่อมแซมเช่นกัน

 

เขาใช้เวลาครู่หนึ่งถึงหาช่องว่างเล็กๆ เจอ

 

ภายในห้องค่อนข้างมืด มีเพียงแต่แสงไฟจากตะเกียงกลางโต๊ะ โต๊ะขนาดไม่ใหญ่ล้อมรอบด้วยกลุ่มคนประมาณ 7 – 8 คน หนึ่งในนั้นคือแม่ทัพป๋อหรัน และ มหาเสนาบดีที่คุ้นตา เสียงพูดคุยภายในค่อนข้างอู้อี้ จับใจความค่อนข้างลำบาก ทว่าหลังจากเงี่ยหูฟังสักพักใหญ่ถึงพอจะเข้าใจ

 

ดูเหมือนจะพูดคุยแผนการบางอย่าง ความต้องการแย่งชิงของสำคัญมาจาก…ฮ่องเต้

 

“หากนำสิ่งนั้นมาอยู่ในมือเราได้ ราชวงศ์นี้ก็จบ ในเมื่อไม่หาฮองเฮา ไม่หาแม่ของแผ่นดิน มัวแต่ทำงานจนไม่ได้คิดเรื่องสืบทอด ก็จงหยุดการสืบทอดบังลังก์ไว้แค่นี้ หลังจากนี้คือยุคใหม่ของแผ่นดินแล้ว”

 

นี่มัน กบฏ

 

คำพูดของจิ่งป๋อหรันยังอยู่ในหัว ถ้อยคำที่สร้างความไม่สบายใจนั้นชัดเจนอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่ยอมรับ

 

ต้องทำอะไรสักอย่าง เขาต้องจัดการเรื่องนี้ แต่จะจัดการทุกอย่างอย่างไร

 

นัยน์ตาคมหันกลับไปมองในสวน ท้องฟ้ายามเช้าสดใสและสวยงาม บรรยากาศอบอุ่นน่าเดินเล่นแตกต่างกับบรรยากาศในห้องไม้ด้านหลังเขา หรือ ภายในห้องทรงงานยิ่งนัก

 

ข้าหนาว ถิงเกอ ข้าหนาว…”

 

อายุยังไม่ถึง 20 ชันษาก็ต้องมารับหน้าที่แสนหนักหน่วงแทนคนในครอบครัว ชีวิตในแต่ละวันก็ต้องทนอ่านฎีกาเป็นร้อยๆ ฉบับทั้งๆ ที่อากาศภายนอกดีขนาดนี้

 

…องค์ชายน้อยของกระหม่อม…

 

ไม่มีทางที่เขาและพระองค์จะรักกันได้อย่างเช่นปุถุชนธรรมดาอยู่แล้ว ด้วยเพศสภาพที่มีแค่คิดก็ผิดมากแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อยากคาดหวังอะไรมากไปกว่าการได้เห็นพระองค์ทรงแย้มสรวลตลอดเวลา

 

ความสุขของพระองค์คือความสุขของเฉินเหว่ยถิง

 

ทว่าเขาไม่เห็นรอยยิ้มสดใสมานานมากแล้ว เพียงเพราะยอดเขานั้นเหน็บหนาวจนเกินไป จุดสูงสุดของแผ่นดินมีเพียงผู้เดียวที่ขึ้นไปอยู่ได้ และมันก็อ้างว้างเกินกว่าชายหนุ่มวัย 20 ชันษาจะรับไหว

 

ข้าอยากเห็นท่านมีรอยยิ้มที่สดใสตลอดไป

 

จะผิดไหมถ้าเขาเลือกที่จะปลอดปล่อยพระองค์ออกจากวังวนของโอรสสวรรค์ จะผิดมากไหม

 

ร่างแกร่งลุกขึ้นยืน คำพูดของจิ่งป๋อหรันในวันนั้นคือหินถามทาง การโดนลงโทษของเขาเป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียจนกองกบฏนำมาเสี่ยงถาม เพราะหากเขามีเรื่องกับฝ่าบาท การดึงให้มาร่วมมือกันก็เป็นเรื่องไม่ยาก

 

และเขาก็คือกองกำลังสำคัญ

 

มือใหญ่เคาะบานประตูสี่ที

 

“ข้า เฉินเหว่ยถิง ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดภายในห้องที่พวกเจ้าอยู่แล้ว ข้ามาดี เปิดประตูให้ข้าเสีย” ภายในยังคงเงียบสนิท “หากเจ้าไม่เปิดแสดงว่าไม่รับข้อเสนอของข้า ทหารหลวงทั้งวังจะถูกเรียกให้มาที่นี่”

 

เสียงปลดกลอนพร้อมกับบานประตูเปิดออก จิ่งป๋อหรันยืนหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น

 

“ให้ข้าเข้าไป”

 

“ท่านต้องการอะไร”

 

“ข้าต้องการร่วมล้มราชบังลังก์”

 

ถิงเกอจะพาองค์ชายกลับมาสู่ที่อบอุ่นเองนะกระหม่อม ได้โปรดรอหม่อมฉันสักครู่หนึ่ง

 

.

 

.

 

.

 

.

 

“เฉินเหว่ยถิง!” เสียงตวาดดังกึกก้อง เขาหลุดจากภวังค์ “เจ้าต้องการอะไร เจ้าทำแบบนี้เพื่ออะไร บอกข้ามา!!” เขายิ้มทว่ายังไม่ลดดาบลง

 

“หม่อมฉันเพียงแต่ต้องการปลดปล่อยพระองค์ออกจากวังวนนี้กระหม่อม”

 

“ปล่อยข้าออกจากวังวน?!”

 

“ทรงหนาวไหมพะยะค่ะ ทรงอยากแย้มสรวลเหมือนเมื่อวันวานไหมกระหม่อม หม่อมฉันมองเห็นพระองค์เป็นแบบนี้แล้วปวดหัวใจ อาจจะเป็นการอาจเอื้อมแต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้ากระหม่อมคิดได้ ในเมื่อการอยู่บนยอดเขาเพียงลำพังนั้นปวดพระหฤทัย พระองค์ทรงอยากลงมาอยู่เบื้องล่าง ลงมาอยู่ที่เชิงเขาไหมพะยะค่ะ”

 

“เจ้า….”

 

“พระองค์ไม่ได้ทรงโปรดที่จะเป็นโอรสสวรรค์เลยแม้แต่น้อย ทางเลือกนี้อาจจะผิด แต่หม่อมฉันคิดดีแล้วกระหม่อม ลงจากบัลลังก์เถอะพะยะค่ะ ก้าวลงมาเป็นสามัญชนและมีรอยยิ้มเหมือนวันวาน”

 

“ข้าเลือกได้ด้วยหรือ เจ้าบอกว่าข้าไม่ได้อยากเป็นโอรสสวรรค์ ใช่ ข้าไม่เคยอยากเป็นเลย แต่ข้าเลือกได้ด้วยหรือเหว่ยถิง” สุรเสียงทุ้มสั่นเครือจนแทบจะฟังไม่ออก

 

“เลือกได้กระหม่อม หม่อมฉันถางทางให้พระองค์แล้ว ณ เวลานี้ทรงเลือกได้ จะเลือกเป็นโอรสสวรรค์ของแผ่นดิน หรือจะเลือกเป็นองค์ชายน้อยของกระหม่อม ทรงเลือกสิพะยะค่ะ” นัยน์เนตรฝ่าบาทไหววูบ พระวรกายสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้

 

“เจ้าพูดอะไรออกมา…”

 

“ข้าพูดในสิ่งที่ข้าคิด หม่อมฉันอยากให้พระองค์เป็นเพียงองค์ชายน้อย องค์ชายที่หม่อมฉันสามารถเอ่ยคำว่ารักได้เต็มปาก องค์ชายที่มีรอยแย้มสรวลและมองโลกในแง่ดี ฝ่าพระบาท ทรงเป็นเพียงแค่องค์ชายหยางหยางได้ไหมหรือพะยะค่ะ”

 

“ข้าเลือกได้อย่างนั้นหรือ”

 

“เลือกได้กระหม่อม”

 

“ข้า…” พระอัสสุชลไหลหลั่งลงมา “อยากเป็นเพียงแค่…องค์ชายหยางหยางเท่านั้นเอง” เขายิ้มกว้าง รับรู้ได้ถึงหยาดน้ำร้อนที่ไหลลงมาตามร่องแก้ม หัวใจทั้งดวงเต้นโครมครามเสียจนจับจังหวะไม่ได้ ภาพตรงหน้าพร่าเลือนจนเห็นเพียงแต่พระวรกายแกร่ง

 

“หากยามนี้ทรงเป็นเพียงแค่องค์ชายน้อย เช่นนั้นแล้วช่วยตอบคำถามหม่อมฉันได้ไหมพะยะค่ะ” ดาบเล่มยาวลดลงต่ำ มือใหญ่เอื้อมเข้าไปสัมผัสพระปราง นิ้วอุ่นเช็ดหยาดพระอัสสุชล

 

“องค์ชายของหม่อมฉัน ทรงรักหม่อมฉันบ้างไหมกระหม่อม”

 

 

= TALK =

ตอนหน้าก็จบแล้วนะคะ > v <

มาเดากันดีกว่าว่าตอนจบในใจของทุกคนกับตอนจบที่เราจบไว้จะเป็นยังไงกัน

ไปเมาท์ๆ ติดในแฮชแท็คได้นะคะ

#kakujofic #ความในใจของยอดเขา

ติชมเราได้เสมอนะคะ

ไปตามคุยกันในเพจ ไม่ก็ในทวิตเตอร์ได้ค่ะ

KA’KUJO

PAGE : https://www.facebook.com/Kakujo59

TWITTER : https://twitter.com/kakujo59

[AU] TingYang – ซินซื่อเตอเกาฝง (6)

心事的高峰

[ ซินซื่อเตอเกาฝง ]

ความในใจ ของ ยอดเขา

AU

เฉินเหว่ยถิง x หยางหยาง

( 6 )

 

 

วันนี้ฎีกาก็ยังคงเยอะมากมายเหมือนเคย พระองค์ทรงถอนปัสสาสะยาวด้วยความอ่อนพระทัย ก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระดาษปึกหนามาอ่าน

 

เรื่องราวภายในยังคงเป็นเรื่องคล้ายๆ เดิม การฟ้องร้องแย่งชิงพื้นที่ คดีปล้นชิงทรัพย์ในตัวเมือง ซึ่งพระองค์สั่งการแก้ไขไปหมดแล้ว และทุกอย่างต้องอาศัยเวลา

 

ยังโชคดีที่ไม่มีฎีกาเกี่ยวกับเรื่องฮองเฮาอีก

 

นัยน์เนตรคมหรี่ต่ำ ลายมือซึ่งไม่คุ้นตาเรียกให้พระองค์สนพระทัย เนื้อความภายในแตกต่างจากเนื้อความที่เห็นมานานนับเดือน ภาคเหนือของแผ่นดินบนยอดเขาสูงเกิดภัยพิบัติที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน อากาศที่เริ่มอุ่นขึ้นทำให้น้ำแข็งเริ่มละลาย น้ำจากยอดเขาไหลลงมาสู่หมู่บ้าน บางส่วนติดค้างอยู่ตามพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่การเกษตร คาดว่าอีกประมาณหนึ่งเดือนเมื่ออากาศเริ่มร้อน อาจจะเกิดอุทกภัยขึ้น

 

…ถ้ามีเวลาต้องรีบไปดู…

 

“เหว่ยถิง ข้าจะขึ้นไปภาคเหนือดูสถานการณ์ที่หมู่บ้านหน่อย เจ้าช่วย….” เสียงตรัสเงียบหายเมื่อเงยพระพักตร์มาไม่เห็นองครักษ์คู่ใจ ภาพของห้องทรงงานว่างเปล่าทำให้พระทัยไหววูบ

 

หลังจากสั่งโทษโบย 50 ไม้ไปเมื่อวันก่อน พระองค์ก็มีรับสั่งให้เฉินเหว่ยถิงพักงานเป็นเวลา 3 วัน แม้คำสั่งจะดูราวกับการลงโทษ แต่ในพระทัยนั้นพระองค์อยากให้อีกฝ่ายได้พัก

 

การโบย 50 ไม้ไม่ใช่เรื่องตลกเลยแม้แต่น้อย พอมาดำริดูถึงได้รู้สึกว่าตัวเองกระทำเกินไป

 

นิ้วพระหัตถ์สัมผัสลงบนตราสีทอง สัมผัสเย็นเฉียบยิ่งทำให้พระหฤทัยอ้างว้าง ทว่าพระองค์ทรงทราบดีว่า ณ ตอนนี้ตนเองคือใคร ดำรงตำแหน่งไหน

 

ห้ามดำริสิ่งใดมากเกินไปกว่านี้

 

ห้ามเผลอแสดงความรู้สึกข้างในออกไปมากกว่านี้

 

 

 

 

“ฝ่าบาท” เสียงนางกำนัลดังมาจากหน้าประตู พระองค์เงยพระพักตร์ขึ้นมาจากกระดาษตรงหน้า เพราะไม่มีองครักษ์คู่กายทำให้พระองค์ต้องเขียนจดหมายสั่งการด้วยตัวเอง “องครักษ์เฉินขอเข้าเฝ้าเพคะ”

 

พระขนงขมวดมุ่น

 

“ยังไม่ครบกำหนดเวลาพักงานที่ข้าสั่งไว้ไม่ใช่หรือ”

 

“หม่อมฉันหายดีแล้วกระหม่อม”

 

“ข้ามิได้ให้เจ้าพักผ่อน ข้าสั่งให้เจ้าพักงาน”

 

“หากมิให้หม่อมฉันเข้าไป หม่อมฉันจะคุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงงานจนกว่าพระองค์จะมีรับสั่งให้เปิดประตูพะยะค่ะ!” นัยน์เนตรสวยกรอกขึ้นมองฝ้าเพดาน พระหัตถ์ยกขึ้นสัมผัสตราฮ่องเต้ที่พระศออีกครา

 

…ถิงเกอ ท่านจงหยุด ข้าขอร้อง…

 

“ฝ่าบาทเพคะ องครักษ์เฉินคุกเข่าอยู่หน้าห้องเพคะ!”

 

“ให้เขาเข้ามา” ประตูห้องเปิดออก ร่างแกร่งเดินเข้ามาใกล้ นัยน์ตาคมกริบมุ่งมั่นมองมาที่ท่าน ก่อนจะตวัดลงมาสบกับตราสีทองสวย ขายาวชะงักอยู่กับที่

 

ท่าทีนั้นทำให้พระองค์ขยับพระวรกายขึ้นยืน สิ่งที่อยู่เหนือพระอุระยิ่งเด่นชัด ชัดเสียจนทำให้นัยน์ตาของแขกผู้มาเยือนไหววูบ

 

“ว่าอย่างไร มีอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ” ทรงตรัสด้วยถ้อยคำที่ดูห่างเหิน

 

เสียงพร่ำบอกถึงความในใจยังคงดังกึกก้องอยู่ในพระทัย ประโยคบอกรักที่แสนจะง่ายดาย กับคำถามเพื่อขอความรักตามแบบฉบับที่ผู้ชายคนหนึ่งจะพูดได้ หากไม่ใช่สถานการณ์ตรงนี้ทั้งพระองค์และชายคนนี้คงดีใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

 

ทว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายเสมอ เพราะแค่ความรักไม่เพียงพอเลยแม้แต่นิดเดียว

 

“หม่อมฉันรักพระองค์ รักด้วยความสัตย์จริง”

 

พระพักตร์เชิดขึ้นสูง เฉินเหว่ยถิงขยับรอยยิ้มขมขื่นก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่า “หม่อมฉันเพียงแค่อยากมาเข้าเฝ้าเพื่อแจ้งว่าหายดีแล้วกระหม่อม” พระหัตถ์กำแน่น นิ้วจิกเข้าไปในเนื้อจนโลหิตไหลซึม

 

“เจ้าหายบ้าแล้วใช่ไหม” ปลายเสียงสั่นไหวเสียงจนหัวใจสะท้าน

 

“ข้ากระหม่อมได้กระทำการอุกอาจยิ่งนัก หากฝ่าบาทยังทรงไม่พอพระทัย ได้โปรดลงโทษหม่อมฉันให้สาสมเถอะพะยะค่ะ”

 

ใช่ ท่านอุกอาจยิ่งนักถิงเกอ

 

“ข้าไม่ถือสาอะไรอีกแล้ว ลุกขึ้น ข้ามีงานอยากให้เจ้าช่วยพอดี” พระองค์ทรงนั่งลง ทว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมลุกขึ้น “นี่คือคำสั่งเฉินเหว่ยถิง จงลุกขึ้นได้แล้ว”

 

พระหัตถ์หนายื่นจดหมายไปให้ ปลายกระดาษสั่นไหวเล็กน้อยเสียจนสังเกตแทบจะไม่เห็น

 

“มีภัยพิบัติเกิดขึ้นที่ภาคเหนือ ข้าคิดว่าจะเดินทางไปดูในสามสี่วันนี้ ถ้ายังไงฝากเจ้าจัดการเรื่องต่อให้ข้าที หากจำไม่ผิดข้ามีว่าราชการในตัวเมืองเร็วๆ นี้ ถ้าอย่างไรช่วยจัดการให้ด้วย หลังเข้าตัวเมืองถ้าพอมีเวลาเหลือ ข้าจะเดินทางขึ้นเหนือทันที”

 

“รับทราบกระหม่อม”

 

“จัดการเรื่องนี้เสร็จก็กลับไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีงานรอเจ้าอีกมาก”

 

“ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันทูลลา” ทรงพยักพระพักตร์ก่อนก้มลงมาอ่านฎีกา เสียงเดินห่างออกไปพร้อมกับเสียงปิดประตูห้อง พระองค์ทรงถอนปัสสาสะยาว

 

พระทัยร้าวราวกับจะไร้ความรู้สึก พระวรกายชาไปแทบจะทุกส่วน หากได้คุยกันนานกว่านี้แม้เพียงไม่กี่เวลา พระองค์อาจจะละทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้แน่นก็ได้

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครา นางกำนัลหน้าห้องปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกับของในมือ พระองค์ผินพระพักตร์ไปมอง น้ำชาส่งกลิ่นหอมกรุ่นมาพร้อมกับขนมในจานสวย

 

ขนมที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุด

 

“นี่ไม่ใช่เวลาน้ำชาไม่ใช่หรือ” นัยน์เนตรจับจ้องขนมโก๋สีขาวสะอาดตา

 

“มิใช่เพคะ ทว่าองครักษ์เฉินให้หม่อมฉันนำมาถวายพระองค์เพคะ” พระหทัยเหมือนกับถูกฉีดให้ขาดเป็นริ้วๆ “เขาแจ้งว่าพระองค์ทรงงานหนัก อยากให้เสวยของหวานบ้างกระหม่อม”

 

“อืม เจ้าออกไปเถอะ” ร่างโปร่งบางถอนสายบัวให้ก่อนจะหันหลังกลับ

 

พระหัตถ์สั่นระริกเอื้อมไปหยิบขนมสีขาวมา ทรงใช้ความพยายามอย่างมากในการนำมันเข้าพระโอษฐ์ รสชาติของขนมยังเหมือนเดิมอย่างที่เคยเสวยตอนทรงเยาว์วัย

 

ก่อนหน้าที่จะเห็นขนมนี้ พระองค์ทรงดำริว่าไม่มีอะไรปวดร้าวไปมากกว่านี้อีกแล้ว พระองค์ทรงดำริแบบนั้นจริงๆ

 

อัสสุชลไหลลงมาตามร่องพระปราง เสียงสะอื้นไห้คละไปกับเสียงเคี้ยวขนม

 

…ถิงเกอ…

 

ขนมโก๋วันนี้ ทำไมถึงขมเช่นนี้นะ

 

 

 

 

“อีก 4 วันข้าจะเดินทางขึ้นเหนือ” สุรเสียมทุ้มตรัสขึ้นมากลางท้องพระโรง เหล่าขุนนางมองตากันก่อนจะหันกลับมามองบนบัลลังก์ “มีภัยพิบัติที่หมู่บ้านบนยอดเขา น้ำบนยอดเขาเริ่มละลายลงมาแล้ว หากไม่รีบจัดการจะไม่ใช่แค่อุทกภัยที่หมู่บ้านนั้น แต่มันหมายถึงอุทกภัยในตัวเมืองด้วย”

 

“การเดินทางอาจกินเวลาหลายวัน หากพวกเจ้ามีเรื่องที่ต้องการแจ้ง มีฎีกาที่ต้องการถวาย รีบจัดการให้เรียบร้อยภายในสองสามวันนี้ ส่วนช่วงระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ท่านอัครมหาเสนาบดีจะเป็นผู้ว่าราชการแทน ก่อนข้าออกราชกรณียกิจจะมีการประชุมที่ท้องพระโรงอีกครา” พระองค์ทรงเว้นจังหวะช่วงครู่ นัยน์เนตรสวยมองไปทั่ว

 

“มีใครมีข้อสงสัยอันใดอีก มีก็สอบถามมาเสีย” เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบกริบ พระองค์จึงลุกขึ้นยืน

 

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็เลิกแค่นี้” พระวรกายแกร่งเดินออกจากท้องพระโรงไปแล้ว องครักษ์หนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาคมหันไปมองเหล่าขุนนางก่อนจะเดินตามออกไป

 

“ฝ่าบาท” นัยน์เนตรสวยหันมามอง

 

“มีอะไรหรือเหว่ยถิง” นับจากเหตุการณ์วันนั้นบรรยากาศระหว่างพระองค์กับอีกฝ่ายค่อนข้างไม่สู้ดีราวกับมีหมอกควันบางอย่างมีขวางกั้นเอาไว้ แม้จะยังคุยกันได้เหมือนปกติทว่าพระองค์ทรงสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่บางอย่าง

 

ทว่านี่อาจจะเป็นเรื่องดี สำหรับพระหทัยที่ยังไม่พร้อมเช่นนี้ ท่าทีห่างเหินช่วยชีวิตพระองค์ไว้มากทีเดียว

 

“หม่อมฉันกำลังสงสัยว่า ทรงมีความจำเป็นต้องเสด็จที่ยอดเขาจริงๆ หรือกระหม่อม” ถ้อยคำนั้นทำให้พระขนงขมวดมุ่น

 

“เหตุใดทำไมเจ้าถึงเอ่ยเช่นนี้ ก่อนหน้านี้คราที่เสด็จพ่อยังอยู่ ยามที่เกิดภัยพิบัติพระองค์ก็ทรงเดินทางไปเยี่ยมเยียน เสด็จพี่ฮั่นก็เดินทางตามไปด้วย นี่คือกิจของฮ่องเต้มิใช่หรือที่ต้องเดินทางไปดูสถานการณ์ของบ้านเมือง อีกทั้งปีนี้อากาศอุ่นเร็วยิ่งนัก ข้าเกรงใจจะเกิดอุทกภัยที่ตัวเมืองซึ่งอยู่ต่ำกว่ามาก”

 

“ข้าแค่…” อีกฝ่ายอึกอัก “แค่เป็นห่วงพระองค์”

 

“เป็นห่วงอันใด เจ้าทำราวกับว่าข้าไม่เคยเดินทางขึ้นเหนือมาก่อน ปีที่แล้วข้าก็ยังไป”

 

“ปีนี้ภูมิประเทศไม่ค่อยดี หม่อมฉันเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้กระหม่อม”

 

“ถ้าภูมิประเทศไม่ดี ข้ายิ่งต้องลงไปดูมิใช่หรือ เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงไม่เหมือนตัวเจ้าเลยเหว่ยถิง” ใบหน้าคมคายสะบัดไปมา ร่างสูงโค้งตัวลง

 

“ไม่มีอะไรกระหม่อม ข้าอาจจะกังวลจนเกินควร พระอาทิตย์คล้อยมากแล้ว หม่อมฉันขออนุญาตไปจัดการเรื่องเกวียนกับม้าทรงสำหรับเดินทางนะกระหม่อม”

 

“ไปสิ ได้ความอย่างไรก็มาแจ้งข้าด้วยล่ะ” องครักษ์หนุ่มโค้งตัวก่อนจะเดินไปอีกทาง นัยน์ตาเนตรคมมองตามไป ทว่ายังไม่ทันจะหันพระวรกายเสด็จกลับห้องทรงงานก็ทรงดำริบางอย่างขึ้นมาได้ก่อน

 

…ปกติแล้วเรื่องจัดการม้าทรง เหว่ยถิงให้นายทหารชั้นล่างของตนเองจัดการอีกทีมิใช่หรือ เหตุใดทำไมวันนี้ถึงเดินทางไปจัดการด้วยตนเอง…

 

ผิดปกติ แม้กระทั่งท่าทางขององครักษ์ก็ยังดูแปลกไปจนแทบจะสังเกตเห็นได้ชัด หรือจะมีเรื่องอะไรที่อีกฝ่ายไม่ได้บอกพระองค์

 

“ฝ่าบาทเพคะ” เสียงเรียกของนางกำนัลประจำตัวทำให้ทรงหลุดจากภวังค์ พระพักตร์คมคายหันไปมอง “อากาศอุ่นลงมานิดหน่อยแล้ว ทางคนสวนแจ้งว่าตอนนี้ดอกไม้กำลังผลิดอกสวยงามเลยเพคะ ไหนๆ วันนี้ก็เสด็จออกมาจากห้องทรงงานแล้ว ทรงอยากจะไปทอดพระเนตรไหมเพคะ”

 

ฮ่องเต้หนุ่มทรงถอนปัสสาสะยาว

 

“ไปสิ ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรทำเป็นพิเศษแล้วนี่ อีกอย่าง ใกล้วันครบรอบการสวรรคตของสมเด็จแล้ว ข้าอยากได้ดอกไม้ไว้สำหรับไปเยี่ยมเสียหน่อย”

 

“ถ้าอย่างนั้นเชิญเสด็จเพคะ”

 

 

 

 

การได้มาทอดพระเนตรมองสีสันสดใสของดอกไม้ทำให้พระทัยเบิกบานขึ้นเล็กน้อย ทั้งดอกตูมและดอกบานต่างแข่งกันชูช่อไสวรับแสงแดดท่ามกลางลมเย็นสบาย

 

“นั่นดอกที่ข้าปลูกตั้งแต่ข้าตัวเล็กนิดเดียวเองนี่นา” ดอกโบตั๋นสีชมพูหวานกำลังออกช่อแข่งกับดอกสีเหลืองเคียงข้าง ทรงแย้มสรวลเมื่อคิดถึงเรื่องราวตอนเยาว์วัย

 

ดอกสีชมพูคือของพระองค์ ดอกสีเหลืองคือของเหว่ยถิงเกอ

 

เนิ่นนานมาแล้ว สำหรับเรื่องราวความสุขเหล่านั้น พระองค์ยังจำได้ดีว่าตอนที่ดอกโบตั๋นขององครักษ์หนุ่มออกดอกสวยกว่าของตน พระองค์ทรงโวยวายจนทั้งถิงเกอและฮั่นเกอทำตัวไม่ถูก สุดท้ายช่อดอกสีเหลืองก็ถูกถอนออกไปเพียงเพราะความเอาแต่ใจของพระองค์

 

ทั้งเสด็จพ่อและเสด็จแม่ดุด่าพระองค์เสียมากมาย และบังคับให้ช่วยกันกับถิงเกอปลูกมันกลับขึ้นมาใหม่ ถึงจะใช้เวลานาน แต่ตอนนี้ดอกไม้ก็โตสวยเทียบเท่าของพระองค์แล้ว

 

เฉินเหว่ยถิง องครักษ์ที่ยอมพระองค์เสมอ

 

เสียงสวบสาบดังขึ้นไม่ไกลจากที่พระองค์ยืนอยู่ พอหันไปมองก็เห็นชายเสื้อสีดำไหวผ่านพุ่มหญ้าสูงไป พระองค์ทรงขมวดคิ้ว ในสวนส่วนตัวนี้ยามปกติจะไม่มีใครเข้ามาได้ นอกจากตัวพระองค์ คนสวน และคนใกล้ชิด

 

นัยน์เนตรตวัดไปมองด้านหลัง พอไม่เห็นนางกำนัลประจำตัวจึงเดินตามเงาปริศนาไป

 

ยังคงมีเสียงเดินให้ได้ยินเป็นระยะ ก่อนที่เสียงจะเงียบไป พระองค์ทรงหยุดเดินแล้วพยายามมองลอดพุ่มไม้สูงไปอีกฝั่ง ภาพที่เห็นยิ่งทำให้สับสน

 

ร่างสูงแกร่งขององครักษ์คนสนิทที่บอกว่าจะไปจัดการเรื่องเกวียนกำลังยืนคุยกับใครสักคนอยู่ หลังจากพยายามเขม้นมองถึงเห็นว่าคนนั้นคือ แม่ทัพหนุ่มจิ่งป๋อหรัน

 

ตำแหน่งที่ยืนอยู่ค่อนข้างห่างทำให้พระองค์ฟังไม่ออกว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่ท่าทีลึกลับผสมกับท่าทางขององครักษ์หนุ่มในวันนี้ยิ่งทำให้คลางแคลงพระทัย สังหรณ์บางอย่างเต้นพิกลเสียจนรู้สึกไม่สบายพระทัย

 

มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า พระองค์ไม่ได้คิดมากเกินไปใช่ไหม

 

 

 

 

หลังจากวันนั้นพระองค์พยายามหาโอกาสสอบถามเรื่องราวในวันก่อน ทว่าพออยู่กันตามลำพังกลับนึกคำพูดไม่ออก ครั้นจะตรัสไปตรงๆ ก็ดูจะกระไรอยู่เพราะจริงๆ อาจจะไม่มีสิ่งใดก็ได้

 

พระองค์ไม่เคยถามความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเหว่ยถิงกับจิ่งป๋อหรัน ทว่าหลายครั้งหลายคราที่เห็นมีการพูดคุยเวลาเจอกัน แสดงว่ามีความสนิทสนมกันพอสมควร

 

ทว่าสถานที่นัดพบกันกลับเป็นสวนดอกไม้ของพระองค์ สำหรับองครักษ์เฉินนั้นสามารถเข้าออกได้โดยไม่ต้องได้รับการอนุญาตอยู่แล้ว แต่แม่ทัพป๋อไม่ได้รับการอนุญาต ที่สำคัญกว่าสิ่งใด สถานที่นัดพบในพระราชวังมีมากมาย เหตุใดจึงต้องมาทำตัวลับๆ ล่อๆ ในสวนของพระองค์ด้วย

 

จนแล้วจนรอดพระองค์ก็ไม่ได้ถามจนวันเดินทางขึ้นเหนือ การเดินทางยากลำบากอย่างที่องครักษ์หนุ่มพูดไว้ น้ำจากยอดเขาบางส่วนลงไหลลงมาต่ำมากแล้ว เส้นทางบางเส้นถูกตัดขาด

 

“ฝ่าบาท พวกเราอาจจะต้องอ้อมพะยะค่ะ” นายทหารผู้นำทางเอ่ยกับพระองค์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี พระพักตร์คมคายชะโงกออกมานอกเกวียนทอดพระเนตรเส้นทางหินด้านหน้าด้วยพระทัยกังวล

 

ตีนเขายังแย่ขนาดนี้ แล้วนับภาษาอะไรกับหมู่บ้านบนยอดเขา หากต้องอ้อมอีกจะไม่ทันการ พวกเขาจะมัวแต่ประวิงเวลาไม่ได้อีกแล้ว

 

“หยุดขบวนก่อน ข้าจะปลดเกวียนแล้วขึ้นม้าทรงแทน พวกเรารอเวลาไม่ได้อีกแล้ว”

 

“จะดีหรือพะยะค่ะ” เฉินเหว่ยถิงพูดขึ้นมาบ้าง

 

“ข้าว่าพวกเราช้าไปแล้ว ปลดเกวียน จัดสัมภาระใหม่ ข้าจะขึ้นม้า”

 

ทุกอย่างถูกจัดการอย่างรวดเร็ว ทหารบางส่วนจะตั้งแคมป์อยู่ที่นี่เพื่อรอขบวนของพระองค์กลับมาสมทบ บางส่วนจะเดินทางกลับไปพระราชวังเพื่อจัดการเรื่องซ่อมแซมหนทาง นายทหารที่ติดตามฮ่องเต้หนุ่มไปมีเพียงแค่หกนาย

 

เฉินเหว่ยถิงนำขบวนขึ้นไปด้านหน้า หนทางค่อนข้างยากลำบาก ทว่าไม่ได้ทำให้การเดินทางหยุดชะงัก ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามก็เดินทางมาถึงจุดพักแรมแห่งแรก

 

“คืนนี้ต้องพักที่นี่กระหม่อม ฟ้าใกล้มืดแล้ว หากพรุ่งนี้เราเดินทางด้วยความเร็วเท่านี้จะถึงหมู่บ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ถึงกลางหัวพะยะค่ะ” พระองค์พยักพระพักตร์รับรู้

 

ที่พักแรมถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย พระองค์รับสั่งให้ทุกอย่างสามารถเก็บได้อย่างรวดเร็วเพื่อทำเวลา

 

ฟ้ามืดแล้ว พระองค์ประทับอยู่ข้างกองไฟยกพระหัตถ์ขึ้นอังรับไออุ่น นัยน์เนตรเหลือบไปมองกองไฟอีกกองนายทหารทั้งหกนายจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น

 

พอมาดำริดูพระองค์ถึงรู้สึกตัวว่าการจัดกลุ่มเดินทางคราวนี้ นอกจากเฉินเหว่ยถิงแล้วที่เหลือเป็นนายทหารที่พระองค์ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ทุกทีองครักษ์หนุ่มจะนำทหารใต้บังคับบัญชาของตนเองเดินทางมาด้วยเสมอ ซึ่งทหารเหล่านั้นพระองค์รู้จักดี

 

อีกอย่างหนึ่ง นอกจากทางที่ขาดตรงตีนเขาแล้ว พระองค์ไม่ทอดพระเนตรเห็นสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายด้วยน้ำอีกเลย ทุกสิ่งทุกอย่างแปลกประหลาดเกินไป

 

“ฝ่าบาท รับชาอุ่นสักหน่อยไหมกระหม่อม” คนในห้วงความคิดเข้ามาผิงกองไฟเดียวกับพระองค์ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ นัยน์เนตรคมหันไปมองถ้วยสแตนเลสที่ส่งกลิ่นหอมหวาน

 

“ขอบคุณ”

 

“ทนลำบากหน่อยนะพะยะค่ะ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว”

 

“ข้าไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอก ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมครานี้ถึงพาทหารที่ข้าไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตามาล่ะ” สีหน้าคนฟังเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าพระองค์สังเกตเห็น

 

“ทุกคนติดภารกิจบางอย่างน่ะกระหม่อม อีกอย่างหม่อมฉันไม่คิดว่าทุกอย่างจะลำบากถึงเพียงนี้จึงไม่ได้สั่งให้พวกเขาตามมา ฝ่าบาทไม่ประทับอยู่ที่วังเช่นนี้หม่อมฉันก็รู้สึกกังวลกับเมืองหลวง”

 

“เป็นอย่างนั้นเองหรือ” พระหัตถ์สวยคลึงแก้วไปมา บรรยากาศเงียบลงไปครู่ใหญ่ มีเพียงแต่เสียงพูดคุยของทหารที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

 

“นี่ก็ดึกเต็มทนแล้ว ฝ่าบาทจะบรรทมเลยไหมพะยะค่ะ”

 

“ยังหรอก ข้ายังไม่ง่วงน่ะ” นัยน์เนตรสวยหรี่ต่ำ “ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าหน่อย”

 

“หากไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง กระหม่อมก็จะตอบทุกข้อสงสัยพะยะค่ะ”

 

“เจ้ากับแม่ทัพจิ่งป๋อหรันมีอะไรกันหรือเปล่า” ดวงตาคมหันมาสบตาพระองค์ ไร้ซึ่งคำพูดกันไปครู่ใหญ่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหลบตา

 

“เหตุใดถึงถามเช่นนั้นล่ะพะยะค่ะ ท่านป๋อหรันก็คือแม่ทัพที่ข้าเคยร่วมฝึกมาก่อนยังไงล่ะกระหม่อม”

 

“ข้าเพียงแค่เห็นเจ้ากับป๋อหรันทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในสวนดอกไม้ของข้า” องครักษ์หนุ่มเงียบไปอีกครา พระองค์สบนัยน์ตาคู่นั้นนิ่ง

 

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรที่พระองค์จะต้องสนพระทัยหรอกพะยะค่ะ วันนั้นข้าเดินผ่านไปแถวนั้นพอดี แล้วป๋อหรันมีเรื่องอยากคุยด้วย เรื่องราวค่อนข้างเป็นความลับของท่านแม่ทัพ ข้าเลยพาเขาเข้าไปคุยในพื้นที่ส่วนตัว หากฝ่าบาทไม่พอพระทัยที่ข้าพาท่านแม่ทัพเข้าไปในสวน กระหม่อมกราบขอประทานอภัย”

 

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น เอาเถอะ ข้าไม่ถามเจ้าแล้วดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกยาว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าก็จะพักผ่อนเช่นกัน” ตรัสเสร็จก็ขยับตัวลงนอนพิงกับก้อนหินใหญ่ เฉินเหว่ยถิงหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมพระวรกาย

 

“ฝันดีนะเหว่ยถิง”

 

“เช่นเดียวกันพะยะค่ะ” แม้จะไม่ได้คาดหวังอะไร แต่พระองค์รู้ดีอยู่แก่ใจว่าประโยคที่อยากได้ยินกลับมามิใช่ประโยคนี้

 

นัยน์เนตรปิดลงพร้อมกับพระหทัยที่ด้านชา

 

เหว่ยถิงเกอ เหตุใดท่านต้องโกหกข้าเรื่องป๋อหรันกันนะ

 

 

 

 

เสียงปลุกพร้อมกับเขย่าพระวรกายเรียกให้พระองค์ตื่นจากบรรทม ท้องฟ้ายังไม่สว่างดีเท่าไร พอหันไปมองคนปลุกถึงเห็นว่าคือเฉินเหว่ยถิง

 

“จะออกเดินทางแล้วหรือ”

 

“หม่อมฉันเจออะไรที่น่าสนใจจึงอยากเชิญพระองค์ไปทอดพระเนตรพะยะค่ะ”

 

“ตอนนี้น่ะหรือ” พระองค์ทรงลุกขึ้นมานั่ง นัยน์เนตรหันไปมองโดยรอบ กองไฟทั้งสองกองมอดแล้ว ของทุกอย่างถูกเก็บมัดไว้เรียบร้อย ทว่าทหารอีก 5 นายหายตัวไป “ทุกคนหายไปไหน”

 

“หม่อมฉันสั่งให้ออกไปสำรวจโดยรอบเพราะไม่แน่ใจว่ามีเส้นทางใดชำรุดทรุดโทรมบ้าง ส่วนตัวข้าออกไปสำรวจแล้วเจอหน้าผาใกล้ๆ มีอะไรน่าสนใจพะยะค่ะ”

 

“หน้าผาอย่างนั้นหรือ ไปสิ” พระวรกายแกร่งขยับลุกขึ้นยืน ทรงบิดกายไล่ความเมื่อยล้า ชั่วขณะหนึ่งพระองค์ทรงเห็นว่าสีหน้าขององครักษ์ประจำตัวเปลี่ยนไป

 

“เชิญเสด็จกระหม่อม” แม้จะแคลงใจ แต่พระองค์ก็เสด็จตามไปโดยไม่เอ่ยถาม

 

ทั้งสองเดินเงียบๆ จนมาถึงหน้าผาตามที่อีกฝ่ายว่าไว้ พระองค์เสด็จไปยืนอยู่ที่ยอด ทอดพระเนตรมองทะเลสาบที่กว้างสุดลูกหูลูกตา หลังจากดำริดูคร่าวๆ แล้วก็คาดว่าทะเลสาบนี้น่าจะเชื่อมต่อกับแม่น้ำสักสายหนึ่งและไหลลงไปสู่เบื้องล่าง

 

พระองค์ทอดพระเนตรโดยรอบ พอไม่เห็นอะไรจึงหันพระวรกายกลับ

 

“ก็หน้าผาธรรมดาๆ นี่เหว่ยถิง ข้าไม่เห็นมีสิ่งใดที่น่าสน….” สุรเสียงเงียบหายเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็นเฉียบที่พระศอ โลหะเงาแวววาวสะท้อนแสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า

 

“นี่หมายความว่าอย่างไร” คนถูกถามมีสีหน้าอ่านยาก รอยยิ้มที่ส่งมาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะผสมไปกับความเสียใจ “เจ้าหันปลายดาบใส่ข้า หมายความว่าอย่างไร เฉินเหว่ยถิง!!”

 

“ฝ่าบาทน่าจะทรงฉุกพระทัยมาได้สักพักแล้ว ใช่แล้วพะยะค่ะ คำตอบของคำถามที่ว่าเหตุใดทำไมข้ากับจิ่งป๋อหรันถึงสนิทกันก็คือ หม่อมฉันเป็นกบฏพะยะค่ะ” พระทัยไหววูบ ภายในพระอุระรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด

 

“ไม่จริง เหว่ยถิง เจ้าต้องการอะไร”

 

“ข้าต้องการล้มล้างราชบัลลังก์ยังไงล่ะกระหม่อม”

 

 

= TALK =

 

สวัสดีค่าคุโจค่า > v <

ไคล์แมกซ์ของเรื่องแล้ว แฮ่

ไปเมาท์ๆ ติดในแฮชแท็คได้นะคะ

#kakujofic #ความในใจของยอดเขา

ติชมเราได้เสมอนะคะ

ไปตามคุยกันในเพจ ไม่ก็ในทวิตเตอร์ได้ค่ะ

KA’KUJO

PAGE : https://www.facebook.com/Kakujo59

TWITTER : https://twitter.com/kakujo59

[AU] TingYang – ซินซื่อเตอเกาฝง (5)

心事的高峰

[ ซินซื่อเตอเกาฝง ]

ความในใจ ของ ยอดเขา

AU

เฉินเหว่ยถิง x หยางหยาง

( 5 )

 

 

พระเนตรคมเปิดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ภาพตรงหน้ายังคงพร่าเลือนด้วยพระสติที่เลือนลาง พระเศียรยังคงหนักอึ้งด้วยฤทธิ์ไข้ตกค้าง

 

ทว่าพระโอษฐ์กลับแย้มไสว พระสุบินหวานล้ำติดตรึงอยู่ในพระทัย

 

ร่างแกร่งที่โอบกอดพระวรกายของท่านไว้แนบอก เสียงแหบพร่าพร่ำบอกอยู่ข้างพระกรรณว่าจะอยู่เคียงข้างดูแลกัน ไม่ทอดทิ้งพระองค์ไปไหน

 

องครักษ์เหว่ยถิงผู้ซื่อสัตย์ขององค์ชายหยางหยาง

 

องครักษ์ที่ไม่มีวันพูดจาล้อเล่นกับพระองค์อีกต่อไปแล้ว

 

…อยากหลับตาแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย…

 

จุมพิตแสนหวานราวกับยังติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก ความวาบหวามเอ่อล้นอยู่ในหทัยดวงน้อย พระสุบินที่ดีจนไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะมันทำให้พระองค์อยากจะอยู่ในบรรทมตลอดไป

 

หากหยุดอยู่ในความฝัน ก็คงยังมีเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ฮั่นเกอ และ ถิงเกออยู่ด้วยกันตลอดไป

 

ทว่าพระองค์ตระหนักดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ บ้านเมืองที่ระส่ำระส่ายเช่นนี้ จะให้ติดอยู่ในภวังค์ต่อไปแบบนี้ไม่มีทางเป็นได้ และที่สำคัญ ไม่มีใครอยู่เคียงข้างพระองค์อีกต่อไปแล้ว

 

นัยน์เนตรเปิดกว้าง ฝ้าเพดานห้องทรงงานยังคงเหมือนทุกคราที่พระองค์ตื่นบรรทม แต่สิ่งที่แปลกกลับเป็นสัมผัสอุ่นชื้นแฉะที่พระหัตถ์ซ้าย พอหันพระพักตร์ไปมองก็เห็นเรือนผมสีดำสนิทเกยอยู่บนพระพาหา

 

กลิ่นกายที่คุ้นเคย สัมผัสที่คุ้นใจ ชายหนุ่มที่กุมพระหัตถ์พระองค์พร้อมกับหลับสนิทอยู่ข้างแท่นบรรทมนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน

 

…เหว่ยถิงเกอ…

 

“เหว่ยถิง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง อีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าคมคายเงยขวับขึ้นมา นัยน์ตาคมกริบมองพระองค์ด้วยความเป็นห่วง

 

“ฝ่าบาท ตื่นบรรทมแล้วหรือกระหม่อม!”

 

“นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้าถึงปวดไปหมดทั้งตัว”

 

“ฝ่าพระบาททรงมีไข้กระหม่อม” มือหนาผละออกห่าง สัมผัสอุ่นที่หายไปทำให้พระหทัยรู้สึกอ้างว้าง นัยน์เนตรจ้องมองร่างแกร่งที่กุลีกุจอเดินไปที่โต๊ะทรงงาน

 

นึกอยากจะเรียก แต่รู้ดีว่ามิอาจจะรั้งไว้ได้

 

“ทรงกระหายน้ำหรือไม่กระหม่อม” เฉินเหว่ยถิงหันกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำในมือ เขาพยักหน้า พยายามใช้เรี่ยวแรงที่มีพยุงร่างกายตัวเองขึ้น อีกฝ่ายถลาเข้ามาช่วยพยุงทันที

 

“ทรงรู้สึกอย่างไรบ้างพะยะค่ะ”

 

“ปวดหัว ปวดตัว”

 

“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมจะไปเรียกหมอหลวงมาให้ ฉลองพระองค์ของฝ่าบาทเต็มไปด้วยพระเสโท ถ้าอย่างไรหม่อมฉันจะเรียกนางกำนัลเข้ามาให้นะกระหม่อม” พูดจบก็ผละตัวออกห่าง

 

พระองค์ทิ้งพระวรกายลงบนแท่นพระบรรทมนุ่ม นัยน์เนตรจ้องมองฝ้าเพดานอีกคราพร้อมกับยกพระหัตถ์ขวาขึ้นมาทอดพระเนตรนิ่ง

 

สัมผัสอุ่นยังคงรายล้อม เหงื่อชื้นแฉะยังไม่หาย

 

พระองค์ลดพระหัตถ์ลงมาจรดพระโอษฐ์ รู้สึกราวกับพระทัยดวงน้อยๆ กำลังถูกบีบจนแทบจะหายใจไม่ออก

 

อุ่นขนาดนี้ แฉะขนาดนี้ เหว่ยถิงเกอกุมมือข้าไว้ตลอดคืนอย่างนั้นหรือ

 

 

 

 

ร่างแกร่งทิ้งตัวลงพิงประตูห้องทรงงาน นัยน์ตาคมหลุบมองต่ำ

 

เจ้าไม่คู่ควรหรอกนะ เฉินเหว่ยถิง

 

 

 

 

หลังจากพักฟื้นร่างกายได้ไม่กี่วัน ฮ่องเต้หนุ่มก็กลับมาทรงงานได้ตามปกติ แม้ว่าองครักษ์หนุ่มจะห่วงมากมายเพียงใดก็ทำได้แต่ยืนมองพระองค์ทรงงานเพียงแค่นั้น

 

ฎีกายังคงมากมาย เรื่องราวเดิมๆ หลายเรื่องยังคงถูกถวายขึ้นมา เขาได้แต่เฝ้ามองนัยน์เนตรสีดำสนิทที่ทอดพระเนตรตัวอักษรด้วยความเบื่อหน่าย

 

“เหว่ยถิง” สุรเสียงเหน็ดเหนื่อยตรัส

 

“พะยะค่ะ”

 

“เจ้าช่วยไปที่ห้องของฮั่นเกอให้ข้าหน่อยสิ ข้ามีของที่ต้องใช้ในตู้เก็บของของท่านน่ะ ในลิ้นชักที่โต๊ะข้างเตียงจะมีกุญแจดอกหนึ่งอยู่ เอามาให้ข้าหน่อยนะ”

 

“ให้กระหม่อมนำของนั้นมาให้เลยดีกว่าไหมกระหม่อม” พระหัตถ์เล็กโบกไปมา

 

“ไม่ใช่ของสำคัญหรอก ข้าเพียงแต่คิดถึง…ท่านพ่อท่านแม่กับฮั่นเกอแค่นั้นเอง ก็เลยอยากจะเอาของบางอย่างออกมาดูให้หายคิดถึงน่ะ ถ้ายังไงเจ้าช่วยไปหยิบกุญแจมาให้ข้าหน่อยนะ ตู้เก็บของของฮั่นเกออยู่ในห้องทรงงานนี่แหละ” ถ้อยคำอ้างว้างนั้นยิ่งทำให้คนฟังใจสลาย ร่างแกร่งโค้งตัวลงพร้อมกับก้าวออกไปจากห้อง

 

นับจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้หนุ่มไม่เสด็จดำเนินมายังห้องบรรทมที่ตำหนักปีกซ้ายอีกเลย หลังจากจัดการกบฏครานั้นได้ พระองค์ก็มีรับสั่งให้สร้างห้องบรรทมและห้องทรงงานขึ้นมาใหม่ที่ตำหนักปีกฝั่งขวา รับสั่งสั้นๆ มีเพียงแต่ว่า ข้าคงมิอาจทนอยู่ในบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยความทรงจำได้

 

เพราะฉะนั้นในยามที่ต้องการสิ่งของจำเป็นใดๆ เขาจะเป็นคนไปนำมาให้

 

ถึงจะเป็นโอรสสวรรค์ แต่ด้วยวัยเพียงแค่ 20 ชันษา ก็คงมิอาจทำใจอะไรได้เร็วนัก บางทีหลังจากนี้ตลอดไปก็อาจจะไม่สามารถเหยียบย่างเข้ามาในตำหนักฝั่งซ้ายได้อีก

 

เขาถอนหายใจยาว

 

บรรยากาศที่ตำหนักฝั่งซ้ายยังคงไม่ต่างจากทุกที แม้จะไม่มีรับสั่งเข้ามาใช้งาน แต่ก็ยังมีรับสั่งให้ทำความสะอาดอยู่เสมอ

 

ขายาวเดินตรงไปยังห้องบรรทมด้านในสุด รอบข้างไร้ซึ่งสุรเสียงใดๆ มีเพียงแต่ความอ้างว้างรายล้อม

 

ภายในห้องบรรทมยังคงเหมือนเดิมไม่ต่างจากเมื่อหลายปีก่อน ข้าวของทุกอย่างยังคงตั้งอยู่ที่เดิมราวกับเจ้าของห้องไม่หายไปไหน ดอกไม้สีสวยยังคงออกดอกบานผลิอยู่ในแจกันบนโต๊ะทรงงาน

 

องค์ชายฮั่น…คงดีพระทัย ที่ยังมีคนระลึกถึงพระองค์มากเพียงนี้

 

เขาเดินไปที่โต๊ะหัวเตียง ฮ่องเต้มิได้ตรัสว่าโต๊ะฝั่งไหนเขาจึงเลือกเปิดฝั่งที่ใกล้ตัว สิ่งที่อยู่ข้างในทำให้เขาชะงัก ภาพวาดขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยสองสามแผ่นถูกวางอย่างเรียบร้อยอยู่ในนั้น

 

ภาพวาดของคนที่เขารู้จักดี

 

ภาพวาดของหลิวอี้เฟย

 

เสี้ยววินาทีนั้น คำพูดของหญิงสาวกลับเข้ามาในความทรงจำ

 

“ข้าน่ะหรือ ข้าก็รอคนที่ไม่มีทางหวนกลับมาแล้วน่ะสิ”

 

ร่างแกร่งทรุดตัวลงนั่งบนพื้น แม้จะรู้ดีว่าองค์ชายฮั่นกับหญิงสาวคนนี้สนิทกัน แต่ไม่เคยรู้เลยแม้แต่น้อยว่าทั้งสองคนจะมีใจให้กัน

 

มือหนาหยิบรูปขึ้นมาดู ลายพระหัตถ์ที่คุ้นเคยของเจ้าของห้องบรรทมถูกประทับอยู่ที่มุมของภาพ บรรยากาศในกระดาษรายล้อมไปด้วยความรักเสียจนสังเกตได้ชัด

 

หากองค์รัชทายาทยังอยู่ หลิวอี้เฟยคงเป็นหญิงสาวที่มีความสุขมากที่สุดในโลก หญิงงามเมืองที่คู่ควรกับการเป็นฮองเฮา คู่ควรกับการเป็นแม่ของแผ่นดิน

 

ทว่า ทุกอย่างสายเกินกว่าจะกลับไปแก้ไขและคิดถึงมัน

 

“ชีวิตสั้นนักนะเหว่ยถิง มีอะไรจงรีบทำ มีอะไรอยากบอกจงรีบบอก อย่าให้ทุกอย่างเป็นเหมือนข้า ต่างฝ่ายต่างเฝ้ารอเวลาเหมาะสม ต่างรอกันรอกันมา ไม่ยอมเอ่ยสิ่งที่อยู่ในดวงใจ รู้ตัวอีกที ข้าก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เอ่ยคำอำลา”

 

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ หลิวอี้เฟยคงอยากเอ่ยความรู้สึกต่อองค์ชายฮั่น

 

นัยน์ตาคมหลุบลง

 

เขาก็ไม่อยากให้ทุกอย่างสายเกินไป หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวระหว่างเขากับฮ่องเต้ เขาจะนึกเสียใจมากน้อยเพียงใด ถ้าพรุ่งนี้ลืมตาขึ้นมาไม่อาจอยู่เคียงข้างกันได้อย่างในวันนี้ จะเสียใจมากมายแค่ไหนที่เก็บงำทุกอย่างไว้

 

เขาควรจะเอ่ยมันออกไปแม้ว่าจะไม่คู่ควรอย่างนั้นหรือ

 

ไม่คู่ควรทั้งเพศสภาพ ไม่คู่ควรทั้งยศถาบรรดาศักดิ์

 

โอรสสวรรค์มิอาจอภิเษกกับบุรุษผู้ใด เฉกเช่นเดียวกับดวงหทัยก็ต้องมอบให้แก่แม่ของแผ่นดิน ไม่มีทางใดเลยที่สิ่งที่เขาปรารถนาจะมาอยู่ในเอื้อมมือทั้งสองได้

 

ควรจะหยุดเพียงแค่นี้

 

หยุดคิด หยุดไขว่คว้า หยุดถวิลหา

 

“อย่าละทิ้งสิ่งที่อยู่ในมือไป”

 

เขาทำไม่ได้…

 

ถ้าพรุ่งนี้ลืมตามา เขาไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วก็คงเสียใจมากที่มิอาจเอ่ยคำพูดในหัวใจออกไป จะเป็นอะไรไหมถ้าแค่อยากจะพูดมันออกไป เอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจและไม่ได้หวังที่จะครอบครอง

 

“ข้าก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เอ่ยคำอำลา”

 

เพราะถึงแม้เอ่ยออกไปจะโดนคาดโทษร้ายแรงแค่ไหน

 

เขาก็ยังมีโอกาสได้เอ่ยคำอำลา

 

 

 

 

ประตูห้องทรงงานเปิดออกพร้อมกับเสียงเดินหนักแน่น นัยน์เนตรสวยเงยขึ้นมาสบตาองครักษ์หนุ่ม ชั่ววินาทีนั้นพระองค์รู้สึกประหลาดในพระทัย บรรยากาศรายล้อมรอบตัวเฉินเหว่ยถิงเต็มไปด้วยความมุ่นมั่น

 

“ได้กุญแจมาหรือเปล่า” อีกฝ่ายพยักหน้ารับพร้อมกับวางกุญแจดอกสวยลงมาบนโต๊ะทรงงาน พระองค์เหลือบพระเนตรมองก่อนจะหันกลับมาสนใจฎีกามากล้น

 

“ขอบคุณมาก วันนี้เจ้าไปพักผ่อนได้แล้วนะ ข้าคงอ่านฎีกาไปจนดึกเลย ไว้แวะมาหาอีกทีตอนพระอาทิตย์ตกดินก็ได้” ไร้เสียงตอบรับ พระองค์จึงเงยพระพักตร์ขึ้นมาอีกครา

 

คราวนี้ไม่อาจทอดพระเนตรดวงตาจริงจังคู่นั้นได้อีกแล้ว

 

“มีเรื่องอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือเหว่ยถิง”

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันรักพระองค์พะยะค่ะ” ปากกาในพระหัตถ์ร่วงหล่น พระหทัยไหววูบด้วยความตกพระทัย

 

“เจ้าพูดอะไรของเจ้าออกมา!!”

 

“หม่อมฉันรักพระองค์ รักด้วยความสัตย์จริง” ร่างแกร่งขยับตัวเข้ามาใกล้โต๊ะมากขึ้น พระองค์ขยับพระวรกายหนี ยังดำริอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว รับรู้เพียงแต่ว่าพระหฤทัยเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พระหัตถ์สั่นระริกควบคุมไม่ได้ ภายในพระอุทรร้อนวูบวาบไปหมด

 

“เจ้าอย่าพูดอะไรไร้สาระนะเหว่ยถิง!”

 

“ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ หม่อมฉันแค่อยากเอ่ยออกมาก่อนไม่มีโอกาสได้เอ่ย” มือหนาวางลงบนโต๊ะไม้หนา “พระองค์ทรงเคยรักหม่อมฉันบ้างไหมพะยะค่ะ”

 

ไม่ ถิงเกอ ท่านอย่าทำแบบนี้

 

“หยุดพูดอะไรไร้สาระได้แล้ว! ถ้าเจ้ายังไม่หยุดพูดข้าจะเรียกทหารมาลากตัวเจ้าออกไป!!”

 

“ข้าจริงจัง ฝ่าบาท ทรงเคยรักหม่อมฉันบ้างไหม” ภายในอุระร้อนราวกับจะระเบิดออกมา พระวรกายแกร่งลุกขึ้นยืน นัยน์เนตรสวยสบนัยน์ตาองครักษ์หนุ่มนิ่ง

 

ความจริงจังที่อีกฝ่ายส่งมาทำให้พระหฤทัยสั่นคลอนจนอยากจะทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนี้ ทิ้งและถลาตัวเข้าไปกอดคนที่พระองค์รักหมดหัวใจไว้แน่น

 

ทว่าพระองค์รู้ดีว่าทำไม่ได้

 

ท่านหันพระพักตร์หนี ยิ่งพอก้มลงมาสบพระเนตรกับกุญแจดอกสวย ก็ยิ่งปวดหัวใจจนตรัสอะไรไม่ออก

 

ข้ามิใช่องค์ชายหยางหยางที่เอ่ยอะไรเอาแต่ใจได้อีกแล้ว

 

ข้าคือฮ่องเต้ คือโอรสสวรรค์แห่งแผ่นดินนี้

 

ฮ่องเต้มิต้องมีหัวใจไว้ให้ใคร

 

พระหัตถ์ใหญ่หยิบสมุดขึ้นมาฟาดกับโต๊ะทรงงานพร้อมกับเอ่ยเรียกทหารดังลั่น ประตูเปิดพร้อมกับชายร่างกำยำถลาเข้ามา

 

“พาตัวองครักษ์เฉินออกไป”

 

“หม่อมฉันพูดจริงนะกระหม่อม พูดจริงจากหัวใจ”

 

“หุบปาก!!” พระองค์พยายามอดกลั้น ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย กลัวว่าทุกสิ่งที่พยายามปิดไว้จะทะลักออกมา “หากเจ้าเอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว ข้าจะทำมากกว่าลากเจ้าออกไป”

 

“หม่อมฉันพูดจริง” ฮ่องเต้หนุ่มสูดพระอัสสาสะ พระหัตถ์กำแน่น

 

“ทหาร สั่งโบยองครักษ์เฉิน 50 ไม้ โทษฐานพูดจาละลาบละล้วงดูถูกข้า”

 

“รับคำสั่งพะยะค่ะ!”

 

“ฝ่าบาท!!” เฉินเหว่ยถิงตะโกนลั่น ไม่สนใจแม้ว่าแขนทั้งสองข้างจะถูกจับแน่น “ทรงฟังหม่อมฉันไม่ได้หรือพะยะค่ะ!”

 

พระองค์ทรงกวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงไปที่พื้น สุรเสียงทุ้มตวาดดังลั่นไล่ทุกคนออกไปจากห้องทรงงาน นายทหารทั้งสองรับคำเสียงสั่นก่อนจะลากคนที่กำลังตะโกนให้ออกไปด้วยกัน

 

“ฝ่าบาท!!!”

 

…ไม่ฟัง ข้าไม่ฟังอะไรทั้งนั้น!! หุบปาก!!!…

 

พระวรกายแกร่งทรุดลงกับพื้นห้อง พระพักตร์แนบลงกับพรมผืนหนา พระอัสสุชลไหลหลั่งลงมาไม่ขาดสาย ท่านคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว ดวงใจดวงน้อยเหมือนจะขาดสะบั้นจนไม่เหลืออะไรเลย

 

“เหว่ยถิงเกอ เหว่ยถิงเกอ” สุรเสียงแหบพร่าตรัสเรียกคนที่ตนเพิ่งสั่งลงโทษไป

 

“ข้ามิใช่องค์ชายหยางหยาง ข้ามิใช่คนที่ท่านควรเอ่ยคำว่ารัก” เสียงสะอื้นไห้เคล้าไปกับเสียงกรรแสง ในห้องที่เงียบสงบนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามายุ่งวุ่นวายอยู่แล้ว

 

จะปล่อยความอ่อนแอออกมาก็ไม่มีใครสนใจ

 

นัยน์เนตรหลุบต่ำ

 

ทุกครั้งที่พระองค์ทรงแสดงความอ่อนแอออกมาด้วยความสุดทน จะมีมือใหญ่คอยปลอบประโลมเสมอ แต่ในยามนี้กลับไม่มีอีกแล้ว

 

“ถิงเกอ…”

 

“หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเข้าพระทัยในความรักมากแค่ไหน ทว่าในพระทัยของพระองค์ทรงมีหรือไม่พะยะค่ะ คนๆ หนึ่งที่ไม่ว่ายังไงพระองค์ก็ไม่มีทางลืม คนๆ หนึ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะรอคอย ปรารถนาที่จะอยู่เคียงข้างตราบจนสิ้นชีวิต ไม่ว่าจะยามใดหรือมีสิ่งใดเข้ามาในหทัย พระองค์ก็จะไม่ปันความรู้สึกนี้ไปให้ใคร”

 

ถ้อยคำที่อีกฝ่ายเคยเอ่ยตอนอยู่ริมทะเลสาบด้วยกันดังกึกก้องอยู่ในพระดำริ

 

ข้ารักท่านนะ ข้ารักท่าน

 

ข้ารักท่านไม่ได้

 

 

 

 

พระองค์ขยับพระวรกายขึ้นมานั่งก่อนจะเอื้อมไปหยิบกุญแจที่พื้นขึ้นมา พระหัตถ์ยังคงสั่นระริก ท่านเดินไปยังตู้ขนาดใหญ่ที่มุมห้อง ตู้เก็บของใบโปรดของอดีตองค์รัชทายาท

 

บนชั้นตรงกลาง มีสร้อยทองสวยวางอยู่ในกล่องกำมะหยี่สีแดงฉาน จี้ป้ายทองขนาดเล็กสลักนูนต่ำเป็นคำว่า ท้องฟ้าของแผ่นดิน พร้อมกับประดับเพชรน้ำดีสีใสด้านบนสุด

 

ตราฮ่องเต้ประจำราชวัง

 

นับตั้งแต่ถูกแต่งตั้งเป็นเจ้าแผ่นดิน ท่านไม่เคยเก็บตราฮ่องเต้ไว้กับตัวเลย เพราะถึงจะรู้ดีว่าตัวเองเป็นใคร แต่ในพระหทัยยังรู้สึกอยู่เสมอว่านี่คือสิ่งของของฮั่นเกอ

 

พระองค์ไม่คู่ควร

 

ถึงเวลาต้องยอมรับแล้ว ยอมรับเพื่อไม่ให้ดวงใจต้องปวดร้าวไปมากกว่านี้

 

พระองค์สวมสร้อยลงกับพระศอ นัยน์เนตรคมทอดพระเนตรเงาของตนผ่านกระจกบานใหญ่ ภาพสะท้อนตรงหน้าคือร่างสูงโปร่งของโอรสสวรรค์ในชุดทรงงานสีขาวสะอาดตา ตราฮ่องเต้เหนือพระอุระเด่นสว่างกระแทกเข้าไปในพระหฤทัย

 

ถึงเวลาต้องบอกตัวเองให้มากกว่านี้ ย้ำตัวเองไม่ให้เผลอไผล ไม่ให้ลืมว่าตัวเองคือใคร

 

ข้าคือโอรสสวรรค์แห่งแผ่นดินนี้ คือฮ่องเต้ที่มีหน้าที่ดูแลบ้านเมือง

 

พระหัตถ์กำแน่น

 

ไม่มีความจำเป็นต้องมีหัวใจไว้มอบใครกับใครที่ไหนนอกจากแม่ของแผ่นดินและประชาชน

 

 

= TALK =

 

คุโจค่า

ดราม่าเหลือเกิน……

และก็ยังคงดราม่าแบบนี้ไปอีกหลายตอนค่ะ 555555

ฟิคเรื่องนี้สรุปแล้วมีทั้งหมด 8 ตอนนะคะ ส่วนตอนพิเศษก็เคยลงในนี้ไปแล้ว

ไปตามหาอ่านได้ที่สารบัญค่ะ > <

ไม่รู้จะพิมพ์อะไรแล้ว 5555

ขอบคุณทุกคนที่สนใจและยังติดตามนะคะ!

หวังว่าจะมอบความรักให้กับ เรือถิงหยาง กันเยอะๆ น้า

ไปเมาท์ๆ ติดในแฮชแท็คได้นะคะ

#kakujofic #ความในใจของยอดเขา

ติชมเราได้เสมอนะคะ XD

ไปตามคุยกันในเพจ ไม่ก็ในทวิตเตอร์ได้ค่ะ

KA’KUJO

PAGE : https://www.facebook.com/Kakujo59

TWITTER : https://twitter.com/kakujo59